Pivot point สำหรับการเข้าเทรดของ Buyer และ Seller

Pivot point สำหรับการเข้าเทรดของ Buyer และ Seller

1.เมื่อราคา Forex อยู่แดนลบของ Pivot points แล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ในแดนบวกได้ ผู้เทรดส่วนมากจะทำการสั่ง Sell
2. เมื่อราคา Forex อยู่แดนบวกของ Pivot point แล้วปรับตัวลดลงไปอยู่แดนลบ ผู้เทรดส่วนมากจะทำการเปิดออเดอร์สั่ง Buy
3. ทั้ง Buy และ Sell ที่กล่าวถึงสามารถใช้ได้กับทุกระดับของ Pivot point ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวต้าน

Pivot points แต่ละระดับเป็นแนวรับและแนวต้านของระดับอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่น Pivot point R2 ตัวมันเองอยู่เหนือ R1 จึงเป็นแนวต้านของ R1 ในขณะเดียวกันก็อยู่ต่ำกว่า R3 จึงเป็นแนวรับของ R3 ในกรณีตัวอย่างนี้ใช้เป็นแนวคิดในการเทรด Forex ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อย่าลืมว่าต้องดูทิศทางรวมทั้งวันที่อ้างอิงหรือเปรียบเทียบกับวันก่อนหน้านี้ด้วยเส้น Daily pivot point ด้วย

Pivot point กับการแกว่งตัวของราคา Forex (sideways) 

Sideway เป็นการแกว่งตัวของราคา Forex จากบวกเป็นลบและกลับตัวจากลบเป็นบวกบ่อยครั้งในช่วงเวลาสั้นๆหากเทียบกับ Timeframe ที่กำลังดูอยู่ ซึ่ง sideway ของแต่ละคู่เงิน (Currency pair)  ในโบรกเกอร์ Forex แต่ละรายจะไม่เท่ากัน อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น จำนวนผู้เทรดที่แตกต่างกันของแต่ละโบรกเกอร์, ช่วงเวลาที่มีผู้เทรดมากที่สุดของโบรกเกอร์ต่างกันตามเวลาท้องถิ่น เป็นต้น
แต่มีข้อสังเกตุอยู่ประการหนึ่ง คือ Sideways มักจะเกิดขึ้นครอบคลุมบริเวณใกล้เคียง หรือคาบเกี่ยวบนเส้น Pivot points แต่ละระดับอยู่เสมอ ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นจะได้อธิบายในบทความต่อไป

Pivot points กับการเป็นแนวรับและแนวต้านของตลาด Forex

Pivot points กับการเป็นแนวรับและแนวต้านท้องตลาด Forex

แนวรับและแนวต้าน

แนวรับและแนวต้าน คือ จุด ระดับ ราคา ที่ใช้เป็นจุดหมายว่าเมื่อราคาของตลาดไปถึงอาจจะกลับตัว น่าจะไม่สามารถไปต่อได้ ยกเว้นว่าหากมีปัจจัยเกื้อหนุนก็อาจจะทะลุไปต่อได้ ซึ่งก็จดมีแนวรับหรือแนวต้านหลายระดับเผื่อมีเหตุการณ์อย่างที่กล่าวมาแล้ว
โดยที่แนวรับ (Support) คือ ระดับที่อยู่ในแดนลบ คือต่ำกว่า Pivot point แทนด้วยตัวอักษร S ส่วนแนวต้าน (Resist) เป็นระดับที่อยู่ในแดนบวก คือสูงกว่า Pivot point แทนด้วยตัวอักษร R

Pivot points มีหลายระดับ

Pivot points สามารถบอกแนวรับและแนวต้านของตลาด Forex ของโบรกเกอร์แต่ละรายได้ง่ายๆ โดยผู้เทรด Forex และโบรกเกอร์ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นมาเอง ไม่ต้องกำหนดค่าใดๆ เพราะว่า Indicator ตัวนี้จะสร้างให้ทั้งหมดเพียงแค่ผู้เทรด Forex เปิดใช้งาน Indicator มีชื่อว่า Pivot points โปรแกรมเทรดหรือแพลตฟอร์มเทรด (Trading program or Trading platform) จะสร้างเส้น Pivot points level ในแต่ละระดับให้ทันทีทั้ง เส้นหลัก (Daily Pivot point), แนวรับ (S1, S2, S3, ..., Sn), แนวต้าน (R1, R2, R3, ..., Rn) และเส้นที่บอกกึ่งกลางระหว่างระดับ Pivot points แต่ละระดับอีกที่เรียกว่าเส้น Mid-pivot (M1, M2, M3, ..., Mn)

Pivot point ของโบรกเกอร์ Forex แต่ละราย

เนื่องจาก Pivot point เป็น indicator มาตรฐาน จึงไม่มีโบรกเกอร์ Forex รายใดสร้างหรือแก้ไขให้เป็นของตนเอง จะมีก็แต่ผู้ให้บริการเกี่ยวกับข้อมูล, indicators, signal, trading system ที่ทำการแก้ไขปรับปรุง เปลี่ยนการตั้งค่า จากประสบการณ์ที่มี ความรู้ระดับสูง และการทดลองเทรด ที่สามารถทำกำไรได้จริง ซึ่งส่วนใหญ่จะปล่อยตัวฟรีมาให้ผู้เทรด Forex ที่สนใจใช้ก่อน อันเป็นช่วงทดลองของเขา พอพิสูจน์ได้ว่าดีหรือไม่ พอผู้ให้บริการปรับปรุงได้จนเป็นที่น่าพอจะก็จะนำออกมาให้ดาวน์โหลดแบบเสียเงิน
Pivot point ที่มีผู้แก้ไขปรับปรุงและตั้งค่าเองก็มีอยู่มากมาย ทั้งแบบฟรีคือให้เราเป็นหนูทดลอง และแบบเสียเงินซื้อ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว แต่ถ้าให้แนะนำ ไม่ควรเสียเงินซื้อ indicator ตัวเดียวโดดๆ ถ้าจะซื้อก็ควรเป็น Trading system ที่มีการรวม indicator หลายตัวร่วมกันทำงานและบางรายอาจจะมีการปรับปรุงการแสดงผลของกราฟให้ดูง่าย มีตัวชี้สัญญาณซื้อขาย มี alert ส่งเสียงเตือนเมื่อมีสัญญาณ และอีกมากมายตามแต่ว่าแต่ละรายจะใส่อะไรลงไปบ้างเพื่อดึงดูดให้ผู้เทรดสนใจสินค้าของตน

ถึงกระนั้นผู้เทรด Forex เองก็ควรมีความรู้เป็นของตนเองด้วยบ้าง ทั้งยังควรหาข้อมูลข่าวสารไว้ล่วงหน้าว่าวันเวลาใดที่เมื่อมีการประกาศอะไรออกมาจากประเทศต่างๆแล้วจะมีผลกระทบกับทิศทางตลาด Forex โดยรวม

Pivot Points ไม่ใช่การสุ่มเลือกโดยโบรกเกอร์ Forex

Pivot points คืออะไร

Pivot points คือ ระดับราคา (Price Level) ที่คำนวณจากการเคลื่อนไหวของราคา Forex ที่เกิดขึ้นมาในวันก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ซึ่งผู้เทรดจำนวนมาก ธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆใช้เข้าซื้อและออกจากการเทรด Forex ในโบรกเกอร์ Forex แต่ละราย

Pivot points คำนวณจากข้อมูลการเทรด Forex ในวันก่อนหน้า

ในการคำนวณเพื่อระบุตำแหน่ง Pivot points แต่ละวันจะใช้ราคา Forex ที่มีการเทรดกันก่อนหน้านี้หนึ่งวันมาคำนวณ ซึ่งโบรกเกอร์แต่ละรายจะมี Pivot points ที่ไม่เท่ากันแต่วิธีการคำนวณจะเหมือนกันเป็นมาตรฐานสากล ราคาที่นำมาคำนวณ คือ ราคาสูงสุด (Highest price = H), ราคาต่ำสุด (Lowest price = L) และราคาปิด (Closed price = C)

สูตรการคำนวณ Pivot points 

(H+L+C)/3 = Pivot point
สิ่งที่ได้ คือ ค่าเฉลี่ยของระดับราคาที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหนึ่งวัน ถ้าวันนี้ขณะที่ผู้เทรดกำลังทำการเทรด Forex ราคาปัจจุบันถ้าอยู่เหนือ Pivot point แสดงว่ามีแรงซื้อสูงกว่าเมื่อวานส่งผลให้ระดับราคาไปอยู่แดนบวกได้ ในขณะเดียวกันถ้าสมมติราคาอยู่ต่ำกว่า Pivot point แสดงว่ากำลังมีแรงขายมากจึงกดดันให้ราคาลงไปอยู่ในแดนลบ

Pivot points กับการเทรด Forex

Pivot points หรือ Daily pivot หรือ Center point ใช้เป็นเส้นอ้างอิงทิศทางของตลาดแบบวันต่อวันได้ เมื่อราคามีการปรับตัวจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนเหนือ Pivot point ได้ ผู้เทรดส่วนมากที่รอ sell จะใช้โอกาสนี้ทำการสั่ง sell เมื่อมีการ sell จำนวนมาก ระดับราคาจะเริ่มลดลง ผู้เทรดจะรอให้ราคากลับลงไปจนถึงระดับที่พอใจก็จะปิดออเดอร์เพื่อทำกำไร เมื่อมีการปิด Order มากๆ ถึงระดับหนึ่ง ราคาจะเริ่มชะลอตัว โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในแดนลบคือต่ำกว่าเส้น Pivot point ผู้เทรดก็จะเข้ามาสั่ง Buy เมื่อนั้น Buy กันมากจะเกิดแรงส่งระดับราคากลับไปในแดนบวกอีกครั้งหนึ่ง

กลยุทธ์การเทรด Forex พื้นฐานสำหรับมือใหม่ ตอนที่ 2

การกำหนด Stop Loss โดยอ้างอิง Fractal
ผู้เทรด Forex ต้องกำหนดให้ถูกต้องหากอ้างอิงข้อมูลทิศทางแนวโน้มของตลาดจาก Fractal คือการกำหนด Stop Loss ต้องกำหนดที่ยอดของสัญลักษณ์ Up fractal และกำหนดที่ยอดของสัญลักษณ์ Low fractal ห้ามเข้าใจผิดและจำผิด ไปกำหนดที่ไส้แท่งเทียนทั้งราคา High และ Low เด็ดขาด ต้องกำหนดที่ปลายของสัญลักษณ์ Fractal เท่านั้น

เพราะอย่าลืมว่า Indicator ตัวนี้เป็นตัวส่งสัญญาณเตือนว่าราคาอาจจะไปต่อไม่ได้และมีการกลับตัวในช่วงนั้นๆ ถ้าราคากลับตัวจริงไม่มีปัญหาเพราะเราจะได้กำไร แต่ถ้าราคาไม่กลับตัว ผลคือขาดทุน แล้วถ้าผู้เทรดกำหนด Stop Loss ผิดตำแหน่งตามที่กล่าวไปแล้วจะทำให้ผู้เทรดขาดทุนและปิด Order เร็ว แต่โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่เทรนด์ยาวๆ จะไม่ค่อยเกิดการ Break Fractal อย่างมากราคาก็ไปจนถึงเกือบเท่า Fractal แล้วกลับตัว ผลก็คือ เรากำหนดผิดตำแหน่ง ทำให้ขาดทุนและปิด order ไปแล้ว แทนที่จะได้กำไรหากกำหนดได้ถูกตำแหน่งคือ ยอดของสัญลักษณ์ Fractal


กลยุทธ์การเทรด Forex พื้นฐานสำหรับมือใหม่ ตอนที่ 1

กลยุทธ์การเทรด Forex พื้นฐาน
ช่วยให้ผู้เทรดสามารถอ่านชาร์ตแล้วใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้มาตัดสินใจใยการเทรดแต่ละ Order ได้ถูกต้อง แม่นยำ ทำกำไร แต่สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงสิ่งที่ควรจะทำเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้เทรกจะต้องทำตามทั้งหมด ทุกอย่างสามารถพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์และความชำนาญของผู้เทรดแต่ละคน

1. Fractal  ส่งสัญญาณการกลับตัว
Fractal เป็นตัวชี้วัด (Indicator) ตัวหนึ่งที่ผู้เทรดจำนวนมากใช้เป็นตัวบอกสัญญาณว่าราคาอาจจะมีการกลับตัวของทิศทางราคาในตลาด Forex โดยส่วนใหญ่แล้วหากตลาดอยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีการผันผวนหรือการปรับตัวของราคาอย่างรุนแรง จะสามารถบอกสัญญาณได้ค่อนข้างแม่นยำและสามารถเชื่อถือได้พอสมควร ถ้าผู้เทรดสามารถใช้ร่วมกับการอ่านชาร์ตได้ก็จะช่วยยืนยันทิศทางตลาดได้

การยืนยันทิศทางตลาดด้วย Fractal
ผู้เทรดสามารถทำได้โดยการดูชาร์ตที่เกิดต่อจาก Fractal คือ ถ้าแท่งเทียน 2 แท่งที่เกิดต่อจาก Fractal นั้นมีการปิดราคาแล้วมีทิศทางเหมือนกัน จะเป็นการยืนยันว่าทิศทางตลาดจะเป็นไปในทิศทางดังกล่าวค่อนข้างแน่นอนแม้จะเป็นช่วงสั้นๆแค่เพียง 1 - 3 แท่งเทียนก็ตาม

แต่พึงจำไว้เสมอว่า Fractal ไม่ใช่ตัวชี้ขาดทิศทางราคาของตลาด ยังมีตัวชี้วัดอื่นๆอีกที่ผู้เทรดควรดูประกอบด้วยเพื่อความถูกต้องและความปลอดภัยของตัวผู้เทรดเอง

การจัดการ Stop loss ระหว่างการเทรดโดย Pending Order

บทความที่แล้วผู้เทรด Forex ( Forex Trader) ได้ทำการใช้คำสั่ง Pending Order แบบต่างๆกันไปแล้วและรู้วิธีการกำหนดตำแหน่ง Stop loss, Take Profit อีกด้วย บทความนี้จะแนะนำผู้เทรดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับ Stop loss ในขณะที่ราคาตลาดของ Order นั้นยังไปไม่ถึงจุดที่กำหนด Take Profit เอาไว้

การ Buy

จากบทความที่แล้วหากผู้เทรดคาดการณ์ถูก ทิศทางราคาตลาด Forex จะไต่ระดับไปในแดนบวก มีข้อสังเกตง่ายๆ ว่าทิศทางถูกหรือไม่คือ ให้ยึดแท่งเทียนที่เกิด Down Fractal เป็นหลัก แล้วรอให้แท่งเทียนที่จะเกิดต่อจากแท่งเทียนนี้อีก 2 แท่งเทียน มีราคาปิดเป็นทิศทางเดียวกันคือเป็นบวก ก็จะช่วยยืนยันทิศทางได้ในระดับหนึ่ง
ในกรณีที่ทิศทางถูกต้อง เมื่อราคาไต่ขึ้นไประดับราคาหนึ่ง อาจจะมีการกลับตัวของราคาเป๋นลบเล็กน้อยแล้วเกิด Down fractal ใหม่ เช่นนี้ ให้ผู้เทรดทำการขยับ Stop loss ไปที่ Down fractal ที่เกิดขึ้นใหม่นี้
จุดดังกล่าวนี้หากราคาไม่สามารถไต่ระดับไปถึง  Pivot point ได้และมีการกลับตัวไปแดนลบ จุด Stop Loss ที่กำหนดใหม่นี้จะเป็นจุดที่ทำให้ผู้เทรดได้กำไร ซึ่งแน่นอนว่ามากกว่าหากปิดออร์เดอร์ไม่ทันแล้วราคาลงไปต่ำกว่าจุดนี้ ถ้าแย่ไปกว่านั้นคือ เท่าทุนถ้าปิดออร์เดอร์ทัน แต่ถ้าไม่ทันก็ติดลบและอาจเลยไปถึงขาดทุนที่จุด Stop loss ที่กำหนดไว้คราวแรก

การ Sell

หลักการเหมือนกับการ Buy เพียงแต่ให้ไป Stop loss ที่ Up fractal ที่เกิดขึ้นใหม่ และการดูทิศทางก็ให้กลับทิศทางการสังเกตในทิศทางตรงข้ามจากการ Buy

การจัดการ Pending Orders - Sell Stop

บทความที่แล้วเราได้ทราบวิธีการจัดการและวิธีการตัดสินใจใช้คำสั่ง Pending Order - Buy Stop ในการเทรด Forex ไปแล้ว ซึ่งในบทความนี้ จะกล่าวต่อจากบทความที่แล้วโดยจะกล่าวถึง Pending Order - Sell Stop ที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับการจัดการ Buy Stopในหลายจุดแต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันด้วยจึงขออนุญาต Trader ทั้งหลายอธิบายในรูปแบบที่เหมือนกัน แต่ได้โปรดสังเกตให้ดี เรื่องการกำหนด Stop loss และ Take Profit เพราะหลักการจัดการแตกต่างจาก Buy Stop ดังนี้

1. ทิศทางของตลาด Forex

ถ้าทิศทางของตลาดมีการกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามคือทิศทางตลาดขาขึ้นหรือ Upward Trend หลังจากที่เราได้ทำการกำหนดคำสั่ง Pending Orders - Sell Stopไปแล้ว ให้ผู้ลงทุนหรือ Trader ทำการยกเลิกคำสั่ง Pending Order - Sell Stop โดยให้ Trader ตรวจสอบ trend จากกราฟ M30 (Timeframe 30 minutes) เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของ Up factal และ Down fractal รวมถึงจุดเข้าเทรดหรือ Entry point ด้วย

2. เมื่อเกิด Up fractal ใหม่ ให้เปลี่ยนตำแหน่ง Stop loss

ถ้ามี Up fractal ใหม่เกิดขึ้น Trader ควรจะเปลี่ยนตำแหน่ง Stop loss เสียใหม่ให้มาอยู่ที่แท่งเทียนที่เกิด Up fractal ล่าสุดเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Up fractal ที่เกิดสูงกว่าหรือต่ำกว่า Up fractal ก่อนหน้านี้

3. เมื่อเกิด Down fractal ให้เปลี่ยนจุดเข้าเทรด (Entry point - Sell Stop)

ถ้าหากว่ามี Down Fractal เกิดขึ้นใหม่ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำกว่า Down fractal ก่อนหน้านี้ ให้ใช้แท่งเทียนล่าสุดที่้กิด Down Fractal เป็นจุด Sell Stop

4. Pivot point

Pivot point เป็น Indicator ตัวหนึ่งที่จะบอกแนวรับ แนวต้าน ท้องตลาด Forex ในแต่ละวัน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งทุกวันในเวลาเที่ยงคืนของแต่ละโบรกเกอร์ Trader ทุกท่านควรเปลี่ยนจุดกำไร หรือ Take Profit ด้วยตามตำแหน่งของ Pivot point ที่เปลี่ยนไป

การจัดการ Pending Orders - Buy Stop

หลังจากที่เราได้ทราบชนิด รูปแบบ วิธีการทำงาน และวิธีการตัดสินใจใช้คำสั่ง Pending Order ไปแล้ว ทีนี้จะมีปัญหาให้ต้องเผชิญแน่ๆกับผู้ลงทุน (Trader) Forex ทุกคน ซึ่งในบทความนี้ จะรวบรวมปัญหาที่มีการไถ่ถามมากเป็นอันดับต้นๆ วิธีการจัดการ การรับมือ การแก้ไข เพื่อเป็นแนวทางพื้นฐานให้ Trader ทุกท่านได้นำไปใช้หรือพลิกแพลงใช้งานตามความสามารถของแต่ละคน

1. ทิศทางของตลาด Forex
ถ้าทิศทางของตลาดมีการกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามคือทิศทางตลาดขาลง หรือ Downward trend หลังจากที่เราได้ทำการกำหนดคำสั่ง Pending Orders - Buy Stopไปแล้ว ให้ผู้ลงทุนหรือ Trader ทำการยกเลิกคำสั่ง Pending Order - Buy Stop โดยให้ Trader ตรวจสอบ trend จากกราฟ M30 (Timeframe 30 minutes) เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของ Up factal และ Down fractal รวมถึงจุดเข้าเทรดหรือ Entry point ด้วย

2. เมื่อเกิด Down fractal ใหม่ ให้เปลี่ยนตำแหน่ง Stop loss
ถ้ามี Down fractal ใหม่เกิดขึ้น Trader ควรจะเปลี่ยนตำแหน่ง Stop loss เสียใหม่ให้มาอยู่ที่แท่งเทียนที่เกิด Down fractal ล่าสุดเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Down fractal ที่เกิดสูงกว่าหรือต่ำกว่า Down fractal ก่อนหน้านี้

3.  เมื่อเกิด Up fractal ให้เปลี่ยนจุดเข้าเทรด (Entry point - Buy Stop)
ถ้าหากว่ามี Up Fractal เกิดขึ้นใหม่ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำกว่า Up fractal ก่อนหน้านี้ ให้ใช้แท่งเทียนล่าสุดที่้กิด Up Fractal เป็นจุด Buy Stop

4. Pivot point
Pivot point เป็น Indicator ตัวหนึ่งที่จะบอกแนวรับ แนวต้าน ท้องตลาด Forex ในแต่ละวัน ซึ่งจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งทุกวันในเวลาเที่ยงคืนของแต่ละโบรกเกอร์ Trader ทุกท่านควรเปลี่ยนจุดกำไร หรือ Take Profit ด้วยตามตำแหน่งของ Pivot point ที่เปลี่ยนไป

คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Order) ตอนที่ 2

Sell Limit และ Buy Limit


ในบทที่แล้วเราได้รู้จักกับ 2 คำสั่งแรกของ Pending Order ไปแล้วคือ Sell Stop และ Buy Stop ซึ่งคำสั่งทั้งสองนั้นเปรียบง่ายๆเหมือนกับป้ายรถประจำทาง (Bus Stop) นั่นเอง คือเราต้องการจะขึ้นรถที่จุดๆนั้นเพื่อไปต่อ แตกต่างกับอีกสองคำสั่งคือSell Limit และ Buy Limit ที่หลักการทำงานต่างกัน ไม่สามารถเปรียบได้กับสิ่งใดๆ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากเพราะแตกต่างกับ 2 คำสั่งแรกแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น

Sell Limit และ Buy Limit เป็นคำสั่งที่ใชำกำหนดจุดที่จะซื้อหรือขาย (Trade) ไว้ล่วงหน้า โดยที่จุดที่จะกำหนดนั้นมีหลักคิดที่สำคัญคือการกลับตัวของทิศทางตลาด และการคาดการณ์ถึงราคาที่จุดต่ำสุดและสูงสุดที่น่าจะเป็น แล้วใช้ทั้งสองอย่างมาช่วยกำหนดจุดเทรดด้วย Sell Limit และ Buy Limit โดยจะขอแยกอธิบายดังนี้

1. Sell Limit คือ คำสั่งที่ใช้กับเทรนด์ขาลง โดยจุดที่ใช้คำสั่งคือจุดที่คาดว่า ราคาจะลดลงมาถึงจุดนั้น และจะไม่ลดลงไปต่ำกว่านั้น หรือถ้าลดต่อไปก็ไม่มากจนเกินไป และก็คาดว่าเมื่อราคามาถึงจุดนั้นแล้วจะมีการกลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้น นั่นคือกำไรที่เราจะได้รับนั่นเอง


2. Buy Limit เป็นคำสั่งที่ใช้ในเทรนด์ขาขึ้น และกำลังจะถึงจุดสูงสุดของเทรนด์นั้นๆเมื่อคาดการณ์ว่า ณ จุดใดจุดหนึ่ง น่าจะเป็นจุดที่ราคาสูงที่สุดแล้ว เราก็กำหนดคำสั่ง Buy Limit ไว้เมื่อทิศทางตลาดพาราคาไปถึงแล้วหากมีการกลับตัวอย่างที่คาดการณ์ เราก็จะได้กำไรจากการกลับตัวนั้นเช่นเดียวกับ Sell Limit

ข้อดีของ Sell Limit และ Buy Limit
ข้อดีคือหากการคาดการณ์ของนักลงทุน (Trader) นั้นถูกต้องแม่นยำ กำไรที่ได้จะได้รับมากเพราะจุดที่ทำการเทรด จะเป็นจุดสุดท้ายของเทรนด์ (trend) หนึ่งและจะเป็นจุดเริ่มต้นอีกเทรนด์หนึ่ง ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้ลงทุนได้กำไรในลักษณะ long trend คือกำไรระยะช่วงยาวๆ

ข้อเสียของSell Limit และ Buy Limit
ข้อเสียที่เด่นชัดคือ ความเสี่ยง ที่ราคาอาจจะไปต่อซึ่งผลก็คือการขาดทุน ยิ่งราคาไหลไปไกลมากเท่าไหร่ ผู้ลง.ุก็ขาดทุนมากตามไปด้วยเช่นกัน

ในตลาด Forex นั้น ยิ่งอยากได้ผลตอบแทนมาก นักลงทุนก็จำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงนั้นไว้ด้วยในการเทรดแต่ละครั้ง แต่หากผู้ลงทุนไม่ต้องการความเสี่ยงในระดับสูงก็สามารถทำกำไรได้เพียงแต่จะได้น้อยและนานกว่าความเสี่ยงในการลงทุนระดับสูงๆ

เริ่มต้นทำความรู้จักกับ การซื้อขาย (Trading) ว่าคืออะไร?

เริ่มต้นทำความรู้จักกับ การซื้อขาย (Trading) ว่าคืออะไร?

ทุกคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า "การซื้อขาย" หรือ Trading มาบ้างโดยส่วนมากแล้วเรามีการซื้อขายในชีวิตประจำวันของเราอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเราอาจไม่ได้รู้ว่าเรา กำลังทำอย่างนั้น ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วทุกสิ่งที่คุณซื้อในร้านค้าเป็น เงิน สกุลต่างๆในการซื้อขายสำหรับสินค้าที่คุณต้องการ

ที่ New High Forex Trader คุณจะได้เรียนรู้วิธีการซื้อขายค่าเงินสกุลต่างๆใน ตลาดการซื้อขายเงินออนไลน์ (Forex Trading) และ High Forex Trader นี้จะทำให้คุณเข้าใจถึงความหมาย, เทคนิคและวิธีการซื้อขาย Forex ผ่านโปรแกรมหรือแพลตฟอร์ม (Platform) การซื้อขายกับโบรกเกอร์ (Broker)ต่างๆทั่วโลก


หลักการของการซื้อขาย (Trading)

" การซื้อขาย " (Trading)หมายถึง " การแลกเปลี่ยนสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นใด " ปกติแล้วเรามักจะเข้าใจในเรื่องนี้เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือสินค้าที่ผลิตเพื่อเงินหรือในความหมายอื่น ๆ แต่ถ้าจะให้พูดง่ายๆ การซื้อขายก็คือ การซื้อบางสิ่งบางอย่าง

เมื่อเรากล่าวถึงเกี่ยวกับการซื้อขาย ในตลาดการซื้อขายเงินก็เป็นหลักการเดียวกัน แนวคิดเกี่ยวกับคนที่ซื้อขายหุ้น (Shares) จริงๆแล้วก็คือการซื้อหุ้นของบริษัท ถ้ามูลค่าของหุ้นดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น พวกเขาก็จะทำเงินจากการขายหุ้นของพวกเขาอีกครั้งในราคาที่สูงกว่าเดิม นี่ก็คือตัวอย่างของการซื้อขาย คุณซื้อบางสิ่งบางอย่างในมูลค่าหนึ่งและขายมันในอีกมูลค่าหนึ่ง โดยหวังว่าจะมีราคาที่สูงขึ้นซึ่งจะทำให้ได้กำไร

แล้วมูลค่าหุ้นจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบนั้นง่าย : การเปลี่ยนแปลงของมูลค่า จะแปรผันตาม อุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) โดยเมื่อมีความต้องการบางสิ่งบางอย่างที่มากขึ้น (อุปสงค์) แต่มีสิ่งนั้น (อุปทาน)น้อยกว่าจำนวนคน ผู้คนจึงยินดีที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น

การเพิ่มขึ้นของ ความต้องการ (Demand) ก็คือ การเพิ่มขึ้นของ ราคา (Price)

เราสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ง่ายๆจากตัวอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้ออาหาร สมมติว่า คุณอยู่ในตลาดและที่มีแอปเปิ้ลเหลืออยู่บนแผงเพียง 10 ลูก และร้านนี้เป็นเพียงร้านเดียวที่คุณสามารถจะซื้อแอปเปิ้ลได้ แต่ถ้าหากมีเพียงคุณคนเดียวที่ต้องการแอปเปิ้ล ส่วนมากแม่ค้าส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะขายให้ในราคาที่เหมาะสม

แต่ในกรณีที่มี 15 คน มาที่ตลาดแห่งนี้เพื่อซื้อแอปเปิ้ล ผู้คนเหล่านั้นจะทำบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับในสิ่งที่เขาต้องการก่อนที่คนอื่นจะได้ไป ซึ่งก็คือพวกเขายินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นได้ ดังนั้นแม่ค้าสามารถขึ้นราคาได้ เพราะรู้ดีว่ามีความต้องการมากขึ้นสำหรับแอปเปิ้ล ซึ่งมีมากกว่าจำนวนแอปเปิ้ลที่มีอยู่

เมื่อราคาแอปเปิ้ลขึ้นถึงราคาที่ลูกค้าคิดว่าแพงเกินไปก็จะหยุดซื้อพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นแม่ค้าย่อมตระหนักว่าสินค้าอาจจะขายไม่ออกเนื่องจากราคาที่สูงเกินไป แม่ค้าก็จะหยุดขึ้นราคาและอาจจะรวมถึงลดราคาลงมาจรถึงระดับที่ลูกค้าพอใจที่จะซื้ออีกครั้ง

File:MercadodeSanJuandeDios.jpg
Trading image by Wikipedia.org

การเพิ่มขึ้นของ อุปทาน (Supply) หมายถึง การลดลงของ ราคา (Price)

สมมติว่า จู่ๆมีแม่ค้าแอปเปิ้ลอีกคนเข้ามาในตลาดซึ่งนั่นทำให้มีแอปเปิ้ลมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็คืออุปทานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งแม้ค้าที่เข้ามาใหม่ย่อมเสนอขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าแม่ค้าเจ้าเดิมเพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าของตัวเอง ส่งผลให้ราคาของแอปเปิ้ลลดลงระดับหนึ่ง และเมื่อมีการแข่งขันกันในตลาดย่อมส่งผลให้ราคาลดลงอีกต่อหนึ่ง ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า กลไกการแข่งขันในตลาด

ราคาที่ตรงกันของ ความต้องการ (Demand) และ อุปทาน (Supply) เรียกว่า "ราคาตลาด" (Market Price) กล่าวคือ ระดับราคาที่แม่ค้าทั้งสองเจ้าและลูกค้ายอมรับ ทั้งราคาและจำนวนของแอปเปิ้ลที่ขาย

การประยุกต์ใช้ในตลาดการเงิน

ในตลาดการเงินแนวคิดของอุปสงค์และอุปทานจะเหมือนกับภายนอก ยกตัวอย่างเช่น หาก บริษัท ก. มีผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลที่ดีมาก ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากต้องการที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทนี้ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาของหุ้นดังกล่าว

การซื้อขายออนไลน์ คืออะไร?

เป็นเวลานานแล้วที่การซื้อขายทางการเงินได้ดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินเท่านั้น นั่นหมายความว่า การซื้อขายในตลาดการเงินถูกจำกัดไม่ให้ผู้คนภายนอกมีส่วนร่วมกับสถาบันเหล่านี้ แต่เมื่อมีการพัฒนาของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้ทุกคนที่อยากจะมีส่วนร่วมในการซื้อขายก็ได้ซื้อขายออนไลน์สมปรารถนา

ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าเกือบ  4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าของสกุลเงินที่มีการซื้อขาย 24 ชั่วโมงของทุกวัน ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหลักทรัพย์ใดๆ ในโลกนี้

คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Order)

บทที่แล้วเราได้รู้วิธีการหาจังหวะเข้าเทรด Forex ไปแล้วว่ามีวิธีการอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ต่อไปในบทนี้เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Orders) สิ่งที่ต้องพิจารณาในการใช้ Pending Orders การกำหนดจุดขายทำกำไร (Take Profit)  และจุดหยุดการขาดทุน (Stop loss)

คำสั่งของ Pending Orders มีอยู่ด้วยกัน 4 คำสั่ง คือ Buy Stop, Sell Stop, Buy limit, Sell Limit โดยตัวของ Pending Order เองนั้นมีความหมายว่า จุดๆหนึ่งหรือราคาที่จุดๆหนึ่ง ซึ่งผู้เทรด Forex คาดว่าแนวโน้มของตลาดและราคาจะไปในทิศทางนั้นและไปถึงยังจุดนั้นด้วยซึ่งการทำกำไรนั้นคือแผนที่เราวางไว้ให้เริ่มจากจุดนั้นนั่นเอง การใช้ Pending Orders นั้นเมื่อราคาไปถึงจุดที่เรากำหนดคำสั่งไว้ระบบจะทำการเทรดให้ตามที่เราตั้งคำสั่งไว้ก่อนหน้านี้โดยอัตโนมัติ


คำสั่ง Buy Stop และ Sell Stop

จะใช้ในทิศทางตลาดที่อยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อผู้ลงทุน (trader) คาดว่าทิศทางตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือกำลังจะเป็นขาขึ้น ปกติเราจะใช้คำสั่ง buy คือซื้อทันทีเพื่อเริ่มทำกำไรแบบยาวๆ ปัญหาที่ตามมาคือ ทิศทางตลาดเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ผลคือ ขาดทุนในทันที คำสั่ง buy stop จึงช่วยแก้ปัญหาในจุดนี้ได้ คือ เมื่อเราคาดว่าทิศทางตลาดจะเป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งและเราคิดว่าราคาที่จุดใดจุดหนึ่งสามารถช่วยยืนยันทิศทางตลาดได้เราก็กำหนดคำสั่ง buy stop ไว้เมื่อราคาไปถึงจุดที่เรากำหนด ระบบจะทำการเทรดให้เราโดยอัตโนมัติตามที่เรากำหนดไว้ 


ตัวอย่างการใช้คำสั่ง Pending Order - Sell Stop ที่ราคา 1.38655

ข้อดีของ Buy Stop และ Sell Stop


ข้อดีคือ การช่วยยืนยันทิศทางตลาดได้ว่าทิศทางน่าจะถูกต้องและลดการขาดทุนจากทิศทางตลาดที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์


ข้อเสียของ Buy Stop และ Sell Stop


ข้อเสียที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ กำไรที่จะได้รับน้อยลงกว่าการใช้คำสั่ง Buy และ Sell เนื่องจากเราต้องไปกำหนดการเทรดในจุดที่คิดว่าจะไปถึงและปลอดภัยนั่นเอง

การหาจังหวะเข้าซื้อขาย Forex

ตอนนี้คุณรู้วิธีการดูทิศทางของตลาดโดยรวม ต่อไปคุณก็ต้องทำความรู้ความเข้าใจในการหาจังหวะเข้าซื้อขาย Forex ไม่ว่าจะเป็นตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพื่อตรวจสอบทิศทางของตลาดก่อนที่จะตัดสินใจทำการเทรดครั้งต่อไปนั้นให้คณสลับ Timeframe ไปยังแผนภูมิ 5 นาที (M5) แล้วรอให้ราคาที่มีการแกว่งตัวในระดับไม่มาก (Sideways) อยู่ขณะนั้นกลับตัวหรือมีทิศทางไปในทิศทางที่เราคาดไว้ว่าจะเป็นทิศทางที่มีการปรับตัวที่มากและแรง ซึ่งจะทำกำไรได้มากตามมานั่นเอง

การใช้ Fractals บนชาร์ต M5

ขั้นแรกให้สลับไปยังกรอบเวลาห้านาที ในการจะตัดสินใจเขาเทรด Forex ตามทิศทางตลาดนั้นสมมุติ ทิศทางของ M30 กำลังลง ถ้าเราดูแต่ M30 เราจะไม่รู้ว่าทิศทางตลาดจริงๆในเวลานี้เป็นอย่างไร จึงต้องมาที่ M5 ซึ่งเมื่อเปิดชึ้นมาทิศทางของตลาดใน M5 อาจจะกำลังขึ้นอยู่ แต่นี่เป็นเพียงเวลาย่อยของเวลาหลักที่เราใช้เป็นหลักในการซื้อขาย คือ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งเรารู้แล้วว่าทิศทางตลาดกำลังลง จากการดู M30 เพราะฉะนั้น เราก็ต้องรอให้เกิด การทำลาย Fractal ในทิศทางของตลาดใน M5 ที่ตรงข้ามกับทิศทางตลาดใน M30 ซึงก็คือ ทิศทางขาขึ้น จากบทความที่แล้ว เมื่อเกิดการทำลาย Fractal ทิศทางของตลาดโดยรวมจะไปตามทิศทางนั้น ทีนี้เราสามารเข้าทำการเทรดได้หลายแบบ เช่น

1. เข้าเทรดตามทิศทางตลาด M5 ทันทีที่เกิดการทำลาย Fractal แต่ให้ดูทิศทาง M30 ประกอบด้วย ถ้า M5 กับ M30 มีการทำลาย Fractal ตรงกันข้ามซึ่งกันและกัน ให้คุณทำกำไรช่วงสั้นๆเท่านั้น

2. M5 เกิดการทำลาย Fractal ไปในทิศทางเดียวกันกับ M30 ให้คุณทำกำไรระยะยาวได้

ใช้ Vertical Line ช่วยแบ่งแท่งเทียนที่เราจะไม่ใช้ออกไปจะได้ไม่สับสน

สิ่งที่ต้องระวังคือ ระวังสำหรับการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของตลาดโดยรวม 

ขณะที่คุณรอการเกิดและการทำลาย Fractal  ทิศทางตลาดโดยรวมบนแผนภูมิ 30 นาที (M30)สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณควรให้ตรวจสอบทิศทางตลาดทุก 30 นาทีและถ้าไม่เปลี่ยนกลับไปที่ขั้นตอนแรก

วิธีที่ได้แนะนำไปนั้นเป็นวิธีพื้นฐานในการตัดสินใจเข้าเทรดเท่านั้น ยังมีตัวช่วย หรือ Indicator ที่ช่วยแสดงข้อมูล (Data) หรือสัญญาณ (Signal) ของตลาดอีกด้วยที่ท่านสามารถนำมาใช้ร่วมกับการดูแผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick) ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น แน่นอนขึ้น และวิธีทำกำไรที่กล่าวไปนั้นก็เป็นพื้นฐานเท่านั้น ทุกคนมีเป้าหมายและการพลิกแพลงที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าท่านเข้าใจพื้นฐานที่กล่าวไปแล้ว ทุกท่านย่อมมีวิธีการทำกำไรที่แตกย่อยไปได้อีกมาก ขอให้จำพื้นฐานตรงนี้ให้ดีนะครับผม

กำหนดรู้ทิศทางตลาด Forex

ตอนนี้คุณควรจะรู้ว่าสิ่งสำคัญที่คุณต้องเริ่มต้นในการเรียนรู้กลยุทธ์การเทรด Forex เบื้องต้น ขั้นตอนแรกคือการกำหนดรู้ทิศทางตลาดโดยรวมซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการทำในส่วนที่เหลือเพื่อการตัดสินใจซื้อขาย Forex ของคุณ

Up Fractal และ Down Fractal

เริ่มต้นที่การใช้ Fractals บนแผนภูมิ 30 นาที (M30) เพื่อกำหนดรู้ทิศทางตลาด ภาพจะแสดงให้เห็น Fractrals รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กที่สามารถปรากฎได้ทั้งที่ด้านบนหรือด้านล่างแท่งเทียนญี่ปุ่น เมื่อ Fractals ดังกล่าวอยู่ด้านบนแท่งเทียนญี่ปุ่นเราเรียกมันว่า Up Fractal (Fractal ขาขึ้น) และเมื่อปรากฎอยู่ด้านล่างแท่งเทียนเทียนจะเรียกว่า Down Fractal (Fractal ขาลง)
คุณสามารถใช้ Fractals ได้ทุก Timeframe แต่มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณควรจะรอให้แท่งเทียนอีก 2 แท่งที่จะปรากฎต่อจากแท่งเทียนที่มี Fractal มีทิศทางไปในทิศทางเดียวกันกับ Fractal เพื่อเป็นการยืนยันว่าสัญญาณที่ Fractal แสดงมานั้นถูกต้อง



Fractal ที่ถูกทำลาย (Broken Fractal) เป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของตลาด Forex

Up Fractal จะถูกทำลายต่อเมื่อแท่งเทียนทางขวาของมันมีราคาขึ้นจนสูงกว่าราคาที่สูงที่สุดของเทียนใต้ fractal ส่วนการที่ Down Fractal จะถูกทำลายก็คล้ายกันคือ เมื่อมีแท่งเทียนถัดไปทางขวาของมันมีราคาลดต่ำลงจนต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่อยู่บน fractal
ในภาพด้านล่างคุณจะเห็นว่ามันเป็นราคาสูงสุดของแท่งเทียนใต้ Fractal (1) ที่ถูกทำลายโดยแท่งเทียนด้านขวา (2)



ทิศทางตลาดขึ้นอยู่กับชนิดของ Fractal ซึ่งโดนทำลายครั้งล่าสุด

เพื่อที่จะกำหนดรู้ทิศทางของตลาด  ให้มองหาที่ผ่านมา Up Fractal ที่ถูกทำลายหรือ Down Fractal ที่ถูกทำลาย กำหนดซึ่งของทั้งสอง Fractals ยากจนล่าสุดทิศทางตลาดจะเป็นขาขึ้นถ้า Fractal ที่ถูกทำลายครั้งล่าสุดเป็น Up Fractal แต่หากเป็น Down Fractal ทิศทางตลาดจะเป็นขาลง



โปรดจำไว้เสมอว่า Fractal ที่จะเป็นตัวบอกทิศทางของตลาดนั้น ไม่ใช่ Fractal ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด แต่ต้องเป็น Fractal ที่ถูกทำลายราคาแท่งเทียนที่มันปรากฎตัวอยู่นั้นเป็นครั้งล่าสุด แต่สิ่งนี้เป็นเพียงเครื่องชี้ทิศทางของตลาดที่อาจเป็นไปตามนั้น แต่ตลาดซื้อขายตราสารต่างๆไม่ว่าจะเป็น หุ้น, Forex, ทองคำ, น้ำมัน ล้วนผันผวนรวดเร็วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผู้เทรด Forex ทั้งหลายอย่าลืม ตั้งราคา Stop loss และ Profit target ไว้ด้วย เพราะบางครั้งเมื่อตลาดกลับตัวแรงแล้ว กว่าจะกลับตัวอีกทีก็นานพอสมควร

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 4 (จบ)

การซื้อขายตราสาร (Instrument) ตราสารการเงิน (Financial Instrument) สินทรัพย์ (Asset)


คำเล่านี้เป็นคำที่เราใช้ในการอธิบายถึงสิ่งที่เราซื้อขาย( Trade) ตัวอย่างเช่น เมื่อเราทำการซื้อขาย น้ำมัน เป็นตราสาร  และเมื่อเราซื้อขายสกุลเงินคู่ EUR / USD  จึงกล่าวได้ว่า EUR / USD เป็นตราสาร นอกจากนี้เรายังเรียกได้อีกแบบหนึ่งว่าเป็น สินทรัพย์ (Asset)

เปิดและปิดการซื้อขาย (Opening and Closing)


หลังจากที่คุณได้ทำการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินไปแล้วนั้น เราเรียกกันว่าคุณได้เปิดการซื้อขาย (Opening position) แล้ว ดังนั้นการซื้อและการขายบางครั้งจึงมีการเรียกกันว่า การเข้าสู่การซื้อขาย(Entring position) แต่มันก็เป็นความหมายเดียวกับ การเข้าสู่ตลาด(entering the market) เและเมื่อไหร่ที่ผู้ลงทุน ออกจากตลาด เราก็อาจเรียกได้อีกแบบหนึ่งว่า การปิดการซื้อขาย (Closing position) ของพวกเขา

เข้า (Entry)

คำว่า เข้า ในภาษาของ Forex คือ เมื่อผู้ลงทุน(Trader)ตัดสินใจที่จะเปิดการซื้อขายไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายตราสารทางการเงิน

ออก (Exit)

คำว่า ออก ในภาษาของ Forex คือ เมื่อผู้ผู้ลงทุน(Trader)ตัดสินใจที่จะ ปิดการซื้อขายของพวกเขาจากการซื้อขาย ไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน

Stop loss

ไม่มีคำแปลภาษาไทยที่เหมาะสมและผู้ลงทุนส่วนใหญ่ก็ใช้ทับศัพท์กันอยู่แล้ว โดยคำนี้หมายถึง ตำแหน่งหรือจุดที่ผู้ลงทุนคิดว่าจะใช้เป็นจุดใช้หยุดการขาดทุนจากการที่ค่าเงินปรับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเทรดของตนเอง เพื่อป้องกันการขาดทุนอย่างหนัก โดยเราสามารถตั้งตำแหน่ง Stop loss ได้ทันทีหลังจากทำการเปิดการซื้อหรือขาย ผลดีคือในกรณีที่เราไม่สามารถอยู่ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้าเราเปิดการซื้อขายไว้อย่างเดียว ถ้าเราไม่อยู่หน้าจอ แล้วทิศทางค่าเงินเปลี่ยนไปในทางที่ทำให้เราขาดทุน ผลที่ตามมาคือการขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งหากทิศทางดังกล่าวแรงมากๆ แล้วเงินลงทุนในบัญชีของเราไม่เพียงพอ ก็อาจถึงขั้นล้างพอร์ตได้เลยทีเดียว

Profit Target

เป็นการกำหนดตำแหน่งหรือจุดที่เราคิดว่าทิศทางที่เป็นกำไรของการซื้อขายของเราสามารถไปถึงได้และคิดว่าไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ หรือ เราพอใจที่จะปิดการซื้อขายเมื่อได้กำไรที่จุดนี้ เพราะคิดว่าเมื่อพ้นจุดนี้ไปซึ่งหมายถึงเวลาที่เปลี่ยนไปด้วยคือเหตุการณ์หรือข่าวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นอาจส่งผลให้ทิศทางเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามก็เป็นได้

การกำหนด Stop loss และ การกำหนด Profit Target นั้น เมื่อทิศทางของค่าเงินเคลื่อนที่ไปถึงจุดที่เรากำหนดไว้ตัวโปรแกรมการซื้อขายจะทำการปิดการซื้อขายให้เราอัตโนมัติ


Bull และ Bear

สองคำนี้มาจากแนวคิดหรือจินตนาการถึงการต่อสู้ของวัวกระทิงและหมี โดย Bull คือ ทิศทางของตลาดในเวลานั้นๆที่ผู้ลงทุนทั้งหลายคาดว่าทิศทางจะเป็นไปในทางเพิ่มขึ้น เหมือนกับการที่วัวกระทิงเมื่อต่อสู้กับหมีจะต้องใช้เขาขวิดขึ้นไป
ในขณะที่หมีเมื่อต่อสู้กับวัวกระทิง เนื่องจากหมีจะยืนสองขาเมื่อต่อสู้จึงสูงกว่าจึงต้องใช้อุ้งตีนสองขาหน้าตบลงมา จึงเป็นคำที่ใช้แทนความเชื่อในตลาดขณะนั้นว่าทิศทางค่าเงินกำลังไปในทิศทางที่ลดตัวลง


พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 3

Ask

Bid (เสนอซื้อ)

Bid เป็นการเสนอราคาซื้อเป็นราคาที่ดีที่สุดที่ผู้ประกอบการสามารถซื้อตราสารที่มีการซื้อขายในเวลาปัจจุบัน. ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน Forex จะหมายถึงราคาเสนอซื้อซึ่งเป็นราคาสูงสุดที่โบรกเกอร์จะจ่ายเงินเพื่อซื้อจากคุณ

Ask (เสนอขาย)

Ask เป็นราคาที่ดีที่สุดที่ผู้ประกอบการสามารถขายตราสารการในเวลาปัจจุบัน. ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน Forex หมายถึงราคาต่ำที่สุดที่โบรกเกอร์จะขายให้แก่คุณ

แผนภูมิ (Chart) แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ช่วงเวลา (Periodicity หรือ Time frame)


แผนภูมิเป็นตัวแทนภาพการเคลื่อนไหวของราคา (Price) คุณสามารถใช้สิ่งนี้สำหรับการวิเคราะห์ของคุณ มันเป็นสิ่งที่คุณจะใช้ในการสังเกต อัตราแลกเปลี่ยนหรือราคาของคู่สกุลเงินในแต่ละช่วงเวลา

ในกราฟนั้น ราคาของคู่สกุลเงินจะอยู่ในแกนแนวตั้งด้านขวามือ ตัวเลขที่แสดงคืออัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงินนั้นๆมีความหมายถึงจำนวนของสกุลเงินด้านหลังที่จะสามารถแลกเป็นเงินสกุลด้านหน้าได้ 1 หน่วยนั่นเอง ส่วนช่วงเวลาแสดงอยู่บนแกนนอนด้านล่าง

แผนภูมิ Candlesticks (แท่งเทียนญี่ปุ่น) แสดงให้เห็นข้อมูลจำนวนมาก


ชาร์ตที่เราใช้ในบล็อกเพื่ออธิบายเรื่องราวและความรู้ข้อมูลต่างๆของเราจะใช้เป็น แผนภูมิแท่งเทียน ญี่ปุ่น

 แท่งเทียนญี่ปุ่น เป็นวิธีการแสดงการเคลื่อนไหวของราคา พวกมันบอกเราให้ได้รู้ข้อมูลจำนวนหนึ่ง อย่างแรก แท่งเทียนสามารถบอกได้ว่าราคาได้ขยับขึ้นหรือลงง่ายๆด้วยการแยกสีที่ต่างกัน  สีดังกล่าวนั้นผู้ลงทุน (Trader) สามารถกำหนดได้เองตามความชอบหรือความง่ายต่อความเข้าใจของแต่ละคน  สีจะเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ เมื่อทิศทางการซื้อขายมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น (Bull) หรือ (Bear)



เทียนแต่ละแท่งจะแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะเวลา(Time frame)ที่เราเลือกไว้ ถ้าเราเลือก time frame M1 คือ 1นาที แท่งเทียน 1 แท่งจะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาใน 1 นาที เมื่อครบ 1 นาทีแล้วจะขึ้นแท่งเทียนใหม่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ หากเราเปลี่ยน time frame เทียนแต่ละแท่งกธจะมีอายุเปลี่ยนไปตามที่เราเลือกด้วยเช่นเดียวกัน

แท่งเทียนยังแสดงให้เราเห็นราคาเปิดและราคาปิดใน Time frame นั้นๆ ดังนั้นหากเราใช้ Time frame H4 คือ 4 ชั่วโมง แท่งเทียนสามารถบอกเราถึงราคาเปิดที่เริ่มต้นของระยะเวลา 4 ชั่วโมงและราคาปิดของเมื่อเวลาครบ 4 ชั่วโมง

สุดท้ายเทียนแสดงให้เห็นถึงราคาสูงสุดและต่ำสุดภายในระยะเวลาที่แท่งเทียนจะแสดงผลตาม Time frame ที่เลือกใช้ ดังนั้นถ้าใช้ Time frame MN คือ 1 เดือน เมื่อครบระยะเวลาดังกล่าวคุณจะเห็นราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของระยะเวลาดังกล่าว

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 2

การเคลื่อนไหวของสกุลเงินมีหน่วยวัดเป็น "จุด" (pips)


จุดเล็ก ๆ หรือ จุด หรือ pips คือหน่วยของการวัดการเคลื่อนไหวของราคาทั้งขาขึ้นและขาลง  คุณจะพบว่าการเทรด Forex นั้นเราจะติดตามความเคลื่อนไหวของราคาได้จากข้อมูลที่โบรกเกอร์ประมวลผลผ่านโปรแกรมการซื้อขายมาให้เรา เป็นทศนิยมตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป แตกต่างกันแต่ละค่าเงิน โดยปกติคนโดยทั่วไปมักจะคิดว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินใช้เพียงทศนิยม 2 ตำแหน่งเท่านั้น เช่น อัตราแลกเปลี่ยน ของเงินปอนด์และดอลลาร์ ( GBP / USD ) เท่ากับ 1.57 คุณอาจ คิดว่ามันเป็น 1.57 ที่มีเพียงจุดทศนิยมสองตำแหน่งเท่านั้น

ในความเป็นจริงคือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น ไม่ได้ใช้ทศนิยมเพียงสองตำแหน่งเท่านั้น จากตัวอย่างที่ยกมา ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะใช้ทศนิยมตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป ในส่วนของ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินปอนด์และดอลลาร์ ( GBP / USD ) จะใช้ 4 ตำแหน่ง จึงแสดงผลได้เป็น 1.5700 ถ้าเราสังเกตราคาที่ 1.5700 เลข 0 ในทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายนั้นเราเรียกว่า เป็น จุด หรือ pips



pips เป็นวิธีการที่ผู้ประกอบการค้าโดยทั่วไป ใช้วัดกำไรของพวกเขา หากผู้ประกอบการซื้อคู่สกุลเงิน GBP / USD ถือเอาไว้ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงของราคาจาก 1.5700 ขึ้นไปที่ 1.5730 หมายความว่า ราคของสกุลเงิน GBP / USD ที่ถือเอาไว้นั้นขยับขึ้น 30 จุด ส่งผลให้ถ้าผู้ลงทุนขายหน่วยลงทุนก็จะได้กำไร 30 pips

แต่ยังมีอีกหลายโบรกเกอร์ที่ใช้ราคาที่มีหน่วยเล็กลงไปอีกเป็นทศนิยม 5 ตำแหน่ง เทื่อเป็นทศนิยม 5 ตำแหน่งหน่วยนับจึงมีชื่อเปลี่ยนไปเป็น pipette ผู้ลงทุน Forex จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นตัวเลขที่ใช้ทศนิยม 5 ตำแหน่ง เพราะโบรกเกอร์แต่ละรายนอกจากจะใช้โปรแกรมซื้อขายที่แตกต่างกันแล้วยังอาจจะใช้ฐานราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งราคาที่มีหน่วยทศนิยมหลายตำแหน่งมีผลอย่างไร ตอนท้ายผมจะอธิบายอีกทีนะครับ



คู่สกุลเงินญี่ปุ่นจะแตกต่างเล็กน้อย โดยจะใช้ทศนิยมเพียง 3 ตำแหน่งเท่านั้น เช่น หากอัตราแลกเปลี่ยนของ USD / JPY เป็น 76.084 แล้ว ทศนิยมตำแหน่งที่สองคือหมายเลข 8 จะเป็น pip ส่วนทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายคือหมายเลข 4 จะเป็น pipette

Spread ค่าธรรมเนียมของการซื้อขาย


วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเข้าใจเรื่อง Spread คือการคิดว่ามันเป็นค่านายหน้าที่โบรกเกอร์ Forex ของคุณ จะเรียกเก็บต่อการซื้อขายในแต่ละรายการ

สมมุติว่า  EUR / USD  เท่ากับ 1.3000 ถ้าคุณต้องการซื้อ โบรกเกอร์จะไม่ขาย EUR / USD ให้คุณที่ 1.3000 แต่โบรกเกอร์ ของคุณจะเพิ่มราคาสูงขึ้นเล็กน้อย เช่น 1.3001 ในขณะเดียวกัน หากคุณกำลังมอง ที่จะขาย โบรกเกอร์จะไม่ซื้อ EUR / USD ที่ 1.3000 แต่จะรับซื้อที่ 1.2999

จะสังเกตได้ว่ามีความแตกต่างของราคาระหว่าง 1.2999 และ 1.3001 คือ 2 pips นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Spread ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างราคาที่โบรกเกอร์ยินดีที่จะซื้อจากคุณและขายให้กับคุณ โดยการซื้อออกของคุณในราคาที่ต่ำและขายในราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อยเป็นรายได้ที่โบรกเกอร์แต่ละรายจะได้รับจากการประกอบการเป็นโบรกเกอร์ Forex

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 1

ในการเทรด Forex นั้นจะมีคำศัพท์เฉพาะทางที่ใช้กันมากมาย เยอะเสียจนบางท่านก็จำกันไม่หวาดไม่ไหวกันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ผมจะบอกคือ ท่านไม่จำเป็นต้องจำให้ได้หมดทุกอย่าง แม้แต่คำศัพท์ที่ผมจะนำมาให้ท่านได้รับรู้ต่อไปจากนี้ด้วย ท่านก็ไม่จำเป็นต้องจำให้ได้หมด เพราะเราไม่ได้จำไปสอบ เราไม่ได้เรียนในห้องเรียน นี่คือชีวิตจริง มีทั้งการจำและจด เปิดอ่านทบทวนเมื่อหลงลืม ถึงเวลาใช้งานจำไม่ได้ก็เปิดที่จดไว้ดูเพื่อความถูกต้อง อย่าฝืนเดาเป็นอันขาด พลาดขึ้นมาจะลำบากนะครับ

1 คู่สกุลเงิน 1 ราคา

นี่เป็นสิ่งแรกที่ผู้เทรด Forex มือใหม่ต้องทำความรู้จักและเข้าใจกับคำนี้ ในการเทรด Forex นั้นเราจะหมายถึงอะไรสักอย่างที่เรียกว่า คู่สกุลเงิน มาจากภาษาอังกฤษว่า Currency Pair 

ราคาของสินค้าหรืออะไรก็ตามบนโลกใบนี้เมื่อพูดถึงเราจะเข้าใจได้ไม่ยาก เช่น ราคาของการซื้อขายน้ำมันที่แสดง เป็นราคาต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกัน ราคาที่ใช้ในการซื้อขายทองคำก็เป็นราคาต่อออนซ์แต่การซื้อขาย Forex นั้น ราคาที่แสดง จะหมายถึง ราคาที่ใช้ซื้อขายค่าเงินที่แตกต่างกัน 2 สกุลเงิน หรือ 1 คู่สกุลเงิน อ่านแล้วหลายคนอาจจะสับสนบ้างเล็กน้อย ก็จะขออธิบายง่ายๆ ดังนี้

เมื่อเราทำการซื้อขายค่าเงิน ไม่ว่าจะซื้อหรือขายก็ตาม มันคือการซื้อหรือขายเงินสกุลหนึ่งด้วยเงินอีกสกุลหนึ่งที่จับคู่กันอยู่นั่นเอง ตัวอย่างเช่น เราทำการซื้อเงินสกุลดอลลาร์ เราก็ต้องซื้อด้วยเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ เพราะไม่สามารถซื้อได้ด้วยสกุลเงินเดียวกัน ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้เงินสกุลอื่นจำนวนหนึ่งในการซื้อดอลลาร์นี้

Currency Pair
Currency Pair


ในกรณีที่คุณมี เงินบาท อยู่ในมือ แล้วต้องการซื้อเงินสกุล ดอลลาร์ ด้วย เงินบาท ที่มีอยู่นั้น คู่สกุลเงินที่จะใช้แสดงในการซื้อขายคือ  สกุลที่ต้องการ/สกุลเงินที่ถืออยู่  กรณีนี้ก็จะเป็น ดอลลาร์/บาท หรือ USD/THB นั่นเอง

ถ้าราคาที่แสดงของ USD/THB เท่ากับ 35  จะหมายความว่า  เงิน 1 ดอลลาร์ ต้องซื้อด้วยเงินบาทจำนวน 35 บาท  แต่ถ้าราคาเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนจาก 35 เป็น 30 นั่นหมายความว่า ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้น และเพราะเงินบาทแข็งค่า เงินดอลลาร์เมื่อจับคู่กับเงินบาทนี้ ก็จะบอกได้ว่า เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง  ด้วยสาเหตุและปัจจัยต่างๆมากมายที่ส่งผลให้ค่าเงินมีการผันผวนซึ่งผู้เทรด Forex ทั้งหลายควรจะได้ศึกษาเอาไว้บ้าง เพื่อประโยชน์ในการคาดการณ์ทิศทางค่าเงิน การวางแผนการซื้อขาย เป็นต้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ พื้นฐานเรื่องแรกเยอะขนาดนี้ อย่าเพิ่งถอดใจหรือเบื่อหน่ายที่จะเรียนรู้พื้นฐานกันนะครับ ตึกสูงเสียดฟ้า มหาพีระมิด ล้วนตั้งอยู่บนฐานอันมั่นคงฉันใด การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ขาดทุน ไม่เจ็บตัว ก็ต้องวางรากฐานให่มั่นคงเช่นกัน เรื่องต่อๆไปจะไม่ยาวขนาดนี้นะครับ 


โบรกเกอร์ Forex คืออะไร

เมื่อท่านนักลงทุนมีความต้องการเข้าลงทุนซื้อขายในตลาดซื้อขาย Forex คุณจำเป็นต้องทำความรู้จักกับ โบรกเกอร์ ว่าโบรกเกอร์คืออะไร มีหน้าที่อะไร ทำงานอย่างไร เกี่ยวข้องกับผู้ลงทุนอย่างไร เป็นต้น และเพื่อให้เข้าใจคำว่า โบรกเกอร์ ได้ง่ายขึ้นให้คุณจินตนาการตามไปกับตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้เข้าใจกันง่ายๆ ดังนี้

คุณเคยอยากกินแตงโมสักลูกไหม ถ้าเคยคุณจะไปซื้อที่ไหน แน่นอนว่าจะต้องเป็นตลาดใกล้บ้านที่เราคุ้นเคย สรุปในขั้นแรกนี้ว่า แตงโม คือสิ่งที่คุณต้องการซื้อ ตลาดคือสถานที่ที่คุณสามารถซื้อสิ่งที่ต้องการ เพราะว่า ตลาดเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้นำสิ่งที่คุณต้องการมาขาย

ในทางกลับกัน หากคุณต้องการขายแตงโม คุณต้องหาคนมาซื้อ ซึ่งสถานที่ที่มีผู้ซื้อที่มีความต้องการในสินค้าที่คุณต้องการขาย นั่นคือ ตลาด อีกเช่นกัน

ตลาดจึงเป็นสถานที่ซึ่งผู้ขายและผู้ซื้อมาพบกัน แต่เมื่อคุณไปในตลาดจะพบว่า สินค้าแต่ละอย่างไม่ได้ขายโดยผู้ผลิตหลายๆคน แต่สินค้าที่พวกเขาผลิตจะถูกขายผ่านร้านค้าหรือพ่อค้าคนกลางอีกทอดหนึ่ง



การซื้อขาย Forex ก็เหมือนกัน มีทั้งผู้ซื้อและผู้ขายที่ล้วนแล้วแต่มีความต้องการซื้อขายค่าเงินที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาก็ต้องการสถานที่สักแห่งที่จะตอบสนองความต้องการซื้อขายค่าเงินเหล่านั้นของพวกเขาได้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายก็ตาม จึงเป็นที่มาของ โบรกเกอร์ ที่เข้ามาทำหน้าที่ตัวกลางในการซื้อขาย Forex เหมือนกับร้านค้าในตลาดนั่นเอง

หน้าที่ของโบรกเกอร์


โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้เทรด Forex กับตลาดซื้อขาย หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ทำหน้าที่แสวงหาผู้ซื้อและผู้ขาย Forex ที่มีความต้องการเทรด Forex ในสกุลเงินที่ถูกต้องตรงกันแล้วจัดให้ทั้งสองส่วนมาพบกัน

การทำงานของโบรกเกอร์


ในกรณีปกติ เมื่อคุณต้องการซื้อหรือขายเงินสกุลหนึ่ง หากมีผู้แสดงความประสงค์ที่จะขายเป็นจำนวน มาก คุณนึกภาพออกหรือไม่ว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหน เดินทางไกลแค่ไหน ถ้ามีผู้ต้องการเทรดให้คุณเป็นจำนวนพันๆคน ในหนึ่งวันคุณจะเทรดได้กี่รายการกันเชียว

บทบาทการทำงานของโบรกเกอร์จึงเป็นตัวกลางหรือนายหน้าที่รวบรวมสัญญาว่าจะซื้อ สัญญาว่าจะขาย และเงินของผู้ลงทุนที่ทำการตกลงซื้อขายไปเรียบร้อยแล้วในตลาด Forex จำนวนมาก แล้วทำการรับจ่ายเงินตามจำนวนที่ผู้เทรดได้ตกลงซื้อขายไป

โบรกเกอร์ Forex กับผู้ลงทุน


ในอดีตนั้น โบรกเกอร์ ในตลาดหุ้นจะติดต่อกับลูกค้าหรือผู้ลงทุนผ่านทางโทรศัพท์เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันการติดต่อซื้อขายไม่ว่าจะเป็นหุ้นก็ไม่ต้องโทรติดต่อกับโบรกเกอร์อย่างเดียวอีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้องใหม่อย่าง Forex ที่แทบจะไม่ต้องโทรติดต่อกับโบรกเกอร์เลย เนื่องด้วยทั้ง การซื้อหายหุ้นและ Forex ในปัจจุบันนั้นมีการสร้างโปรแกรมสำหรับการซื้อขายขึ้นมาเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้เองทันที การตกลงซื้อขายในโปรแกรมนั้นก็มีกระบวนการเหมือนการที่เราตกลงเซ็นต์สัญญาว่าจะซื้อหรือขายค่าเงินในเวลานั้นๆ แต่จะขายตอนไหนก็แล้วแต่เราแต่สัญญาดังกล่าวจะยังคงอยู่จนกว่าเราจะปิดการเทรดล็อตนั้นๆ ซึ่งก็คือทำการซื้อหรือขายตามสัญญาว่าจะซื้อหรือขาย ส่วนจะได้กำไรหรือขาดทุนก็แล้วแต่ว่าเราสามารถคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินได้ถูกต้องหรือไม่


ข้อดีของการเทรด Forex หรือการซื้อขายค่าเงินออนไลน์

จากที่ได้รู้กันมาแล้วว่า Forex คืออะไร มีหลักการทำงาน ทำเงินอย่างไร คราวนี้เรามาดูซิว่า ทำไม Forex จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายไปในทุกทวีปและแทบจะทุกประเทศแล้วในขณะนี้ แม้บางประเทศรวมถึงประเทศไทยเราจะยังไม่มีกฎหมายรองรับความถูกต้องของการลงทุนประเภทนี้ก็ตามที แต่ในประเทศระดับแถวหน้าของโลกนั้น เป็นที่ตั้งของที่ทำการของโบรกเกอร์ Forex หลายๆโบรกเกอร์ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดต้องจดทะเยียนและได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลในประเทศนั้นๆด้วย

ข้อดีของการเทรด Forex หรือการซื้อขายค่าเงินออนไลน์


มีอยู่หลายประการ โดยสรุปโดยย่อได้ดังต่อไปนี้

1. ไม่ต้องเดินทางเข้า - ออก ธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อทำการแลกเปลี่ยนบ่อยๆ

2. ไม่ต้องกรอกเอกสารการซื้อขาย ไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องพกบัตร ไม่ต้องพกบัญชี

3. ซื้อขายได้ทุกที่ที่คุณสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้

4. มีโปรแกรมรองรับทั้ง PC และอุปกรณ์พกพา ทั้ง Notebook PC, Tablet, Smartphone

5. โปรแกรมมีระบบชาร์ตหรือกราฟ แสดงข้อมูลราคาอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลังให้เลือกหลายช่วงเวลา



6. ตลาด Forex เปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวันทำการปกติ (จันทร์ - ศุกร์)

7. การเปิดบัญชีเทรด Forex ของแต่ละโบรกเกอร์ใช้เงินทุนต่ำ โดยส่วนมากเริ่มที่ 100 ดอลลาร์ แต่ก็มีโบรกเกอร์หลายรายที่เปิดบัญชีได้ด้วยทุนที่ต่ำกว่านั้น ยิ่งในปัจจุบันต่างแข่งขันกันดึงดูดใจลูกค้าด้วยการให้เงินลงทุนเริ่มต้นฟรีๆ มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 10 ดอลลาร์ขึ้นไป บางรายให้ถึง 100 ยูโร

8. แม้ว่า Forex จะไม่ได้ช่วยให้คุณร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ก็สามารถเป็นรายได้เสริมควบคู่ไปกับรายได้หลักจากการทำงานประจำได้ จะมากบ้างน้อยบ้างก็ต่างกันไปแต่ละรายตามเวลาที่แต่ละคนจะมีให้กับการเทรด

9. สามารถทำเป็นธุรกิจ หรือ กิจการได้ หากมองเห็นช่องทาง เช่น การรวมตัวกันของกลุ่มผู้ลงทุนที่ต่างเชี่ยวชาญการเทรดกันในแต่ละคาบเวลา โดยลงทุนร่วมกัน ช่วยกันเทรดในคาบเวลาที่แต่ละคนถนัด แล้วนำกำไรมาแบ่งปันกัน

Forex คืออะไร อะไรคือการเทรด Forex

ถ้าคุณเคยไปต่างประเทศ คุณย่อมเคยแลกเปลี่ยนเงินจากสกุลเงินหนึ่งไปเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือคุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาด Forex ซึ่งเป็นคำย่อที่มาจากคำเต็มๆว่า Foreign Exchange และอาจเรียกได้อีกหลายอย่างเช่น FX หรือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศก็ได้

การเทรด Forex โดยสังเขป

การทำความเข้าใจว่าการเทรด Forex คืออะไรนั้น ให้คิดถึงการแลกเงินต่างสกุลเมื่อคุณไปต่างประเทศ กับการที่บริษัทต่างๆอาศัยความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศในราคาที่ดี ซึ่งแตกต่างจากการแลกของบุคคลทั่วไปคือบริษัทจะมีจำนวนเงินที่ทำการแลกเปลี่ยนในจำนวนมากนั่งเอง 

ด้วยการที่มีการแลกเปลี่ยนเงินต่างสกุลเงินเช่นนี้ทั่วโลกอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีกระบวนการ ดังนี้



การซื้อขายForex ก็เหมือนกับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

เมื่อมีการแลกเปลี่ยนเงินจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ ราคาและอัตราแลกเปลี่ยน เหมือนกับราคาสินค้าทุกอย่างในโลกใบนี้ที่การเปลี่ยนแปลงของราคาจะถูกกำหนดโดยอัตโนมัติจากอุปสงค์และอุปทาน 
หากความต้องการสกุลเงินหนึ่งสกุลใดมีเพิ่มสูงขึ้น เช่น ผู้คนจำนวนมากหรือบริษัทต่างๆต้องการแลกเปลี่ยนสกุลเงินในประเทศที่ถือครองอยู่ไปเป็นเงินสกุลอื่น เช่น ยูโร ค่าเงินยูโรจะเพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆจะมีการเแลี่ยนแปลง ซึ่งหลักการเหล่านี้คือที่มาของการทำกำไรในตลาด Forex

สมมุติว่าคุณจะไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา จึงทำการแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์เพื่อใช้จ่าย โดยอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้นอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ : 35 บาท จำนวน 140,000 บาท ได้รับมา 4,000 ดอลลาร์ หลังจากนั้นสองสัปดาห์กลับมาประเทศไทยเหลือเงิน 1,000 ดอลลาร์จึงทำการแลกกลับเป็นเงินบาทโดยอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ : 40 บาท คิดเป็น 40,000 บาท แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เหมือนสองสัปดาห์ก่อน คุณจะได้เพียง 35,000 บาท 

นั่นคือส่วนต่างที่เกิดจากผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีนี้คือ ความต้องการเงินสกุลดอลลาร์เพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เมื่อความต้องการ(อุปสงค์)เพิ่มขึ้น ราคาของค่าเงิน(อุปทาน)จึงเพิ่มขึ้นด้วย

เป้าหมายของการเทรด Forex คือ การทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

อธบายง่ายๆ คือ เมื่อเทียบค่าเงินสองสกุลจะได้ อัตราแลกเปลี่ยน เช่น เงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ  เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งหากราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เราจะแลกเงินกลับเป็นเงินบาทได้ 30 บาทเท่าเดิม แต่หากว่าอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเป็น 35 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เราจะได้กำไร 5 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

การเทรด Forex และการซื้อขายค่าเงิน ก็คือ การใช้เงินที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะสกุลใดก็ตามไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลใดๆก็ตาม แล้วถือครองไว้ระยะเวลาหนึ่งจนอัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวไปในทิศทางที่ทำกำไรได้จนเป็นที่น่าพอใจ จึงทำการแลกเปลี่ยนกลับเป็นสกุุลเงินที่เราใช้แลกเปลี่ยนมานั่นเอง


ทดลองเทรด Forex ด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account)

ทำไมต้องทดลองเทรดด้วย Demo Account

มีเหตุผลหลายประการที่ผู้เทรด Forex รายใหม่ควรจะทดลองซ้อมเทรดเสียก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สนามจริง แต่เหตุผลหลักที่ผมแนะนำให้ซ้อมเทรดด้วย Demo Account มีดังนี้

สามารถและทดลองเทรดโดยไม่เสียเงิน

บัญชี Demo Account เป็นรูปแบบบัญชีผู้ใช้งานที่จะถูกจัดให้อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ทดลอง ซึ่งบัญชีผู้ใช้ดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องใดๆกับบัญชีผู้ใช้แบบทดลอง ทั้งข้อมูลการฝาก/ถอนเงิน ข้อมูลบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต ยอดเงินที่เทรดได้ในบัญชีจริง

บัญชีผู้ใช้งานแบบทดลองนี้ จะใช้เงินสมมติที่ทางโบรกเกอร์ให้มาเมื่อเปิดใช้งาน เงินนี้ผู้ใช้สามารถเทรดได้ในเซิร์ฟเวอร์ทดลองเท่านั้น ไม่สามารถฝากเงินเข้ามาหรือถอนออกไปได้ แต่จะมีส่วนที่เหมือนกับเซิร์ฟเวอร์ที่เราจะเทรดจริงๆคือ ทั้งข้อมูล เวลา การซื้อขาย ความเคลื่อนไหวของตลาด เครื่องมือ ตัวชี้วัด ทั้งหลายเหล่านี้ ท่านสามารถใช้งานได้เหมือนจริงทุกประการโดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินฝากเข้ามาจริงๆ


ทดสอบตัวชี้วัด(Indicator) ตัวช่วยแนะนำ(Expert Adviser) สัญญาณการซื้อขาย(Signal)

โบรกเกอร์แต่ละรายจะมีโปรแกรมที่จะใช้เพื่อให้ผู้ลงทุนซื้อขาย Forex ได้ผ่านโปรแกรมนั้นๆเท่านั้น ซึ่งโปรแกรมบางตัวก็มีโบรกเกอร์หลายรายใช้เหมือนๆกัน และโปรแกรมเหล่านี้ก็มีความสามารถในการที่จะให้เราสร้างตัวสอบตัวชี้วัด(Indicator) ตัวช่วยแนะนำ(Expert Adviser) สัญญาณการซื้อขาย(Signal) ได้เมื่อเราพบว่าการตั้งค่าต่างๆในตัวช่วยเหล่านั้นทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น ดีขึ้น ถูกต้องขึ้น เราสามารถสร้างชุดข้อมูลนั้นได้ และสามารถแบ่งปันให้ผู้อื่นได้เช่นกัน  

แต่ในฐานะมือใหม่ ไม่มีความสามารถมากพอ แต่ก็มีมืออาชีพหลายคนที่สร้างไว้และแบ่งปันให้เราใช้ ซึ่งเราสามารถดาวน์โหลดมาเพิ่มเข้าไปและเรียกใช้ในโปรแกรมได้  แน่นอนว่า ตัวช่วยแต่ละตัวที่เราจะเอาไปใช้งานจริงก็ต้องทดสอบก่อนว่าดีจริงหรือไม่และทำความเข้าใจการทำงานและการแสดงผลของตัวช่วยนั้นๆเสียก่อน ถ้าเอาไปใช้จริงทันที อะไรจะเกิดขึ้นถ้า เราใช้ผิดช่วงเวลา ตีความหมายที่ตัวช่วยแสดงผลอกมาให้ผิด 

เรียนรู้เพื่อเปรียบเทียบโบรกเกอร์ Forex แต่ละราย

โบรกเกอร์แต่ละรายก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ลงทุนควรจะเปรียบเทียบก่อนที่จะเลือกโบรกเกอร์ืี่เราพอใจและตรงใจเรามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาโปรแกรม ความเสถียรของโปรแกรม ความเข้ากันได้ของโปรแกรมกับตัวช่วย รูปแบบของชาร์ต ชนิดและจำนวนหน่วยลงทุนที่รองรับ 

ตัวอย่างโบรกเกอร์ Forex ที่มีระบบ Demo Acount


เวลากับการการลงทุนในตลาด FOREX

เวลากับการการลงทุนในตลาด FOREX

ต้องใช้เวลามากแค่ไหน

เป็นคำถามยอดนิยมที่ให้คำตอบได้ยากอีกคำถามหนึ่ง แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีภารกิจ การงาน กิจกรรมที่ชื่นชอบอยู่ทุกคนทุกท่าน ไม่ว่าจะ อ่านหนังสือ ดูหนัง เล่นกีฬา ดังนั้นจึงต้องการรู้ว่าเวลาที่ต้องใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้นต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใด และคำตอบที่คาดหวังนั่นคือว่า ใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่อยากให้ตระหนักกันไว้แต่เริ่มต้นนี้ว่า ทุกคนไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนๆกัน ในเวลาที่เท่ากัน อันเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่าทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้และทำความเข้าใจที่แตกต่างกันนั่นเอง และจุดมุ่งหมายในแต่ละระดับก็จำเป็นต้องใช้เวลาที่แตกต่างกันอีกด้วย

ดังนั้นจึงตอบอย่างชัดเจนฟันธงให้ไม่ได้ว่า แต่ละคนจะต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใด แต่มีข้อแนะนำให้กับทุกคนที่สนใจจะเอาจริงเอาจังกับการลงทุนในตลาด FOREX ซึ่งจะช่วยปูพื้นฐานที่จำเป็นให้มั่นคงแข็งแรงเสียก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดอย่างจริงจังต่อไป

เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการลงทุนในตลาด FOREX 

เมื่อมีข้อสงสัย มีตัวช่วย 2 ทางที่จะสามารถช่วยคุณได้ในเบื้องต้น ด้วยตนเอง คือ

1. ควรจะเป็นสมาชิกของเว็บไซต์เกี่ยวกับ FOREX ที่มีการะดานสนทนา / เว็บบอร์ด / ฟอรั่ม เพราะเมื่อมีข้อสงสัยสามารถโพสต์ข้อสงสัยเหล่านั้นของคุณได้และหากเว็บไซต์ที่คุณเป็นสมาชิกอยู่นั้นเป็นระดับมืออาชีพด้วยแล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีผู้รู้จริงเป็นสมาชิก ผู้ดูแลเว็บบอร์ด แม้กระทั่งอาจเป็นเจ้าของเสียด้วยซ้ำ มาตอบคำถามให้คำแนะนำ 

2. หาเว็บไซต์ดีๆสักแห่งที่มีบทความในส่วนที่เรากำลังศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการลงทุน FOREX  ยิ่งมีวิดีโอประกอบด้วยยิ่งดีมาก เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือตรวจสอบและวัดระดับความรู้ความเข้าใจของคุณไปพร้อมกัน

แต่ถ้าหากคุฯต้องการรู้มากไปกว่าคำถามพื้นฐานทั่วไปและมีความซับซ้อนขึ้น จำเป็นที่ต้องอุทิศเวลาในการเรียนรู้ให้มากขึ้นและอาจจะต้องควบคู่ไปพร้อมกับการฝึกปฏิบัติไปพร้อมกันด้วย ลองดูกรณีศึกษาเหล่านี้เป็นตัวอย่าง


ต้องการความรู้พื้นฐานที่ดีเกี่ยวกับการเงิน

กรณีนี้ มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่ผู้ลงทุนต้องการความรู้ทางการลงทุนที่จะช่วยในการตัดสินใจอย่างรอบคอบด้วยตัวเอง เพราะไม่มีที่ปรึกษาทางการเงินที่มักจะมีค่าจ้างที่สูง คุณควรจะใช้เวลาประมาณวันละ 30 นาทีในการพูดคุยสอบถามในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ชั้นนำก็เพียงพอ

ต้องการที่จะจัดการพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง


หากต้องการจัดการพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างและจัดการพอร์ดการลงทุนของตัวเองว่าจะประกอบด้วยการลงทุนประเภทใดบ้าง เช่น หุ้น พันธบัตร สินทรัพย์ กองทุน เป็นต้น รวมถึงต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ชนิดการลงทุน การเลือก เครื่องมือจัดการ วิธีผสมผสานการลงทุน การกระจายเงินลงทุน รวมไปถึงประเภทและวิธีจัดการกับความเสี่ยงในการลงทุนทั้งหมดด้วย

ต้องการเป็นผู้ลงทุนทำกำไรระยะสั้นและระยะกลาง


การเป็นผู้ทำกำไรระยะสั้นและระยะกลางแตกต่างอย่างมากกับผู้ลงทุนทำกำไรระยะยาวที่ใช้วิธีการซื้อแล้วถือครองไว้ทำกำไร คุณอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการเรียรรู้การอ่านกราฟและแผนภูมิ ตัวชี้วัด (Indicator) การตัดสินใจและกลยุทธ์ที่เหมาะสม อีกทั้งยังต้องมีพื้นฐานทักษะการจัดการการเงินและกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย

อาจจะดูยาก แต่จำไว้ว่าผู้ลงทุนที่ดีไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง ในปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยพัฒนาทักษะของคุณให้กลายเป็นมืออาชีพได้ไม่ยาก อีกทั้งปัจจุบันการลงทุนในตลาด FOREX ก็ยังสามารถทดลองฝึกการเทรดได้อีกด้วย ซึ่งช่วยได้มากในกรณีที่ยังไม่พร้อมที่จะลงไปในตลาดจริง

เวลาที่เสียไปกับการเรียนรู้มีคุณค่าเสมอ


ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร ผมสามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่า จะเป็นการดีกว่าเสมอหากคุณได้รับการศึกษาและมีความสามารถในการตัดสินใจที่มีคุณภาพ มากกว่าที่จะสุ่มสี่สุ่มห้าพึ่งพาคำแนะนำที่ได้รับจากคนอื่นๆ หรือใช้เครื่องมือต่างๆในการตัดสินใจทั้งที่ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเงินและการลงทุนในปัจจุบันที่ซับซ้อนและคาดการณ์ได้ยากกว่าในอดีตที่ผ่านมา
 


รายได้จากการลงทุนในตลาด FOREX

รายได้จากการลงทุนในตลาด FOREX

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อนว่าเรากำลังพูดกันถึงการเทรดแบบรายวัน (Day Trading) ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนตลาดหุ้นที่ใช้การซื้อทิ้งไว้ทำกำไรในระยะยาว เพราะฉะนั้นถ้ามีใครสักคนแนะนำให้ลงทุนในกองทุนระยะยาวสักแห่งที่อ้างว่ารับประกันการทำกำไร 20 % ต่อปี ให้ระวังให้จงหนัก  อาจจะมีบ้างที่มีกองทุนชั้นนำที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นที่แม้ว่าในปีนั้นๆจะเศรษฐกิจย่ำแย่ก็ตามที แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นกองทุนขนาดใหญ่ลำดับต้นๆเท่านั้น แน่นอนว่ามูลค่าของหน่วยลงทุนก็แพงตามไปด้วย

ยกตัวอย่าง กรณีการลงทุนในตลาดหุ้น เริ่มต้นลงทุน 10,000 บาทในปี 2535 หากตลาดหุ้นโตขึ้น 1,000% ในปัจจุบันมูลค่าของหน่วยลงทุนที่ถือไว้จะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 บาท โดยเฉลี่ยเติบโต 45% ต่อปี

FOREX ดีกว่าอย่างไร

การเทรด Forex นั้นเป็นการเทรดแบบ Day Trading คือ ใน 1 วันผู้ลงทุนจะทำการเทรดหลายครั้งกว่าการซื้อขายหุ้นมาก บางรายอาจทำการเทรดมากกว่า 10,000 ครั้งต่อปี ซึ่งการเทรดแต่ละครั้ง ซึ่งการเทรดแต่ละครั้งผูลงทุนอาจจะได้กำไรไม่มากต่อการเทรด 1 ครั้ง แต่กำไรดังกล่าวอาจจะมีมูลค่า 50 % - 150 % ของการลงทุนในแต่ละครั้งก็เป็นได้

ให้ลองจินตนาการถึงพ่อค้าแม่ค้าที่บางวันก็ได้กำไร บางวันก็ขาดทุน แต่ใน 365 วันนั้นมีจำนวนวันที่ได้กำไรมากกว่าวันที่ขาดทุน กำไรที่ทำได้ต่อปีอาจมากกว่า 100% หมายความว่าในปีถัดไปเขาสามารถลงทุนด้วยจำนวนที่มากขึ้นอันนำมาซึ่งผลกำไรที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว


จริงหรือเปล่าที่มีคนบอกว่า "ได้กำไร 10% ทุกเดือน" 

คำตอบคือ  เป็นไปได้

ในความเป็นจริงมีผู้ลงทุนบางท่านทำได้มากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้เท่านี้ทุกเดือน บางเดือนอาจจะได้กำไร บางเดือนอาจขาดทุน ซึ่งในแต่ละเดือนก็มีปัจจัยที่กระทบต่อตลาดทั้งด้านบวกและลบแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นกำไรที่พูดถึงจึงหมายถึง กำไรโดยเฉลี่ย ทุกคนล้วนต้องมีเดือนที่ขาดทุนบ้าง และนั่นเป็นความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนแต่ละคนต้องหาวิธีจัดการ

ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า


มีผู้รู้บอกว่า "การซื้อขายหุ้นไม่ควรเล่นหลายเทรนด์ย่อยๆ แต่ให้ซื้อเทรนด์ใหญ่และถือไว้ทำกำไรในระยะยาว"  สาเหตุมาจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์นั้นสูงมาก แตกต่างจากการซื้อขาย FOREX ที่บรรดาโบรกเกอร์แต่ละรายจะแย่งลูกค้ากันด้วยการแข่งขันกันลดราคาค่าธรรมเนียมซื้อขายเพื่อดึงดูดความสนใจให้มาใช้บริการของตนเอง

Popular Posts

Like us on Facebook

Flickr Images