Pivot point สำหรับการเข้าเทรดของ Buyer และ Seller

Pivot point สำหรับการเข้าเทรดของ Buyer และ Seller

1.เมื่อราคา Forex อยู่แดนลบของ Pivot points แล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ในแดนบวกได้ ผู้เทรดส่วนมากจะทำการสั่ง Sell
2. เมื่อราคา Forex อยู่แดนบวกของ Pivot point แล้วปรับตัวลดลงไปอยู่แดนลบ ผู้เทรดส่วนมากจะทำการเปิดออเดอร์สั่ง Buy
3. ทั้ง Buy และ Sell ที่กล่าวถึงสามารถใช้ได้กับทุกระดับของ Pivot point ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวต้าน

Pivot points แต่ละระดับเป็นแนวรับและแนวต้านของระดับอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่น Pivot point R2 ตัวมันเองอยู่เหนือ R1 จึงเป็นแนวต้านของ R1 ในขณะเดียวกันก็อยู่ต่ำกว่า R3 จึงเป็นแนวรับของ R3 ในกรณีตัวอย่างนี้ใช้เป็นแนวคิดในการเทรด Forex ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อย่าลืมว่าต้องดูทิศทางรวมทั้งวันที่อ้างอิงหรือเปรียบเทียบกับวันก่อนหน้านี้ด้วยเส้น Daily pivot point ด้วย

Pivot point กับการแกว่งตัวของราคา Forex (sideways) 

Sideway เป็นการแกว่งตัวของราคา Forex จากบวกเป็นลบและกลับตัวจากลบเป็นบวกบ่อยครั้งในช่วงเวลาสั้นๆหากเทียบกับ Timeframe ที่กำลังดูอยู่ ซึ่ง sideway ของแต่ละคู่เงิน (Currency pair)  ในโบรกเกอร์ Forex แต่ละรายจะไม่เท่ากัน อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น จำนวนผู้เทรดที่แตกต่างกันของแต่ละโบรกเกอร์, ช่วงเวลาที่มีผู้เทรดมากที่สุดของโบรกเกอร์ต่างกันตามเวลาท้องถิ่น เป็นต้น
แต่มีข้อสังเกตุอยู่ประการหนึ่ง คือ Sideways มักจะเกิดขึ้นครอบคลุมบริเวณใกล้เคียง หรือคาบเกี่ยวบนเส้น Pivot points แต่ละระดับอยู่เสมอ ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นจะได้อธิบายในบทความต่อไป

Pivot points กับการเป็นแนวรับและแนวต้านของตลาด Forex

Pivot points กับการเป็นแนวรับและแนวต้านท้องตลาด Forex

แนวรับและแนวต้าน

แนวรับและแนวต้าน คือ จุด ระดับ ราคา ที่ใช้เป็นจุดหมายว่าเมื่อราคาของตลาดไปถึงอาจจะกลับตัว น่าจะไม่สามารถไปต่อได้ ยกเว้นว่าหากมีปัจจัยเกื้อหนุนก็อาจจะทะลุไปต่อได้ ซึ่งก็จดมีแนวรับหรือแนวต้านหลายระดับเผื่อมีเหตุการณ์อย่างที่กล่าวมาแล้ว
โดยที่แนวรับ (Support) คือ ระดับที่อยู่ในแดนลบ คือต่ำกว่า Pivot point แทนด้วยตัวอักษร S ส่วนแนวต้าน (Resist) เป็นระดับที่อยู่ในแดนบวก คือสูงกว่า Pivot point แทนด้วยตัวอักษร R

Pivot points มีหลายระดับ

Pivot points สามารถบอกแนวรับและแนวต้านของตลาด Forex ของโบรกเกอร์แต่ละรายได้ง่ายๆ โดยผู้เทรด Forex และโบรกเกอร์ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นมาเอง ไม่ต้องกำหนดค่าใดๆ เพราะว่า Indicator ตัวนี้จะสร้างให้ทั้งหมดเพียงแค่ผู้เทรด Forex เปิดใช้งาน Indicator มีชื่อว่า Pivot points โปรแกรมเทรดหรือแพลตฟอร์มเทรด (Trading program or Trading platform) จะสร้างเส้น Pivot points level ในแต่ละระดับให้ทันทีทั้ง เส้นหลัก (Daily Pivot point), แนวรับ (S1, S2, S3, ..., Sn), แนวต้าน (R1, R2, R3, ..., Rn) และเส้นที่บอกกึ่งกลางระหว่างระดับ Pivot points แต่ละระดับอีกที่เรียกว่าเส้น Mid-pivot (M1, M2, M3, ..., Mn)

Pivot point ของโบรกเกอร์ Forex แต่ละราย

เนื่องจาก Pivot point เป็น indicator มาตรฐาน จึงไม่มีโบรกเกอร์ Forex รายใดสร้างหรือแก้ไขให้เป็นของตนเอง จะมีก็แต่ผู้ให้บริการเกี่ยวกับข้อมูล, indicators, signal, trading system ที่ทำการแก้ไขปรับปรุง เปลี่ยนการตั้งค่า จากประสบการณ์ที่มี ความรู้ระดับสูง และการทดลองเทรด ที่สามารถทำกำไรได้จริง ซึ่งส่วนใหญ่จะปล่อยตัวฟรีมาให้ผู้เทรด Forex ที่สนใจใช้ก่อน อันเป็นช่วงทดลองของเขา พอพิสูจน์ได้ว่าดีหรือไม่ พอผู้ให้บริการปรับปรุงได้จนเป็นที่น่าพอจะก็จะนำออกมาให้ดาวน์โหลดแบบเสียเงิน
Pivot point ที่มีผู้แก้ไขปรับปรุงและตั้งค่าเองก็มีอยู่มากมาย ทั้งแบบฟรีคือให้เราเป็นหนูทดลอง และแบบเสียเงินซื้อ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว แต่ถ้าให้แนะนำ ไม่ควรเสียเงินซื้อ indicator ตัวเดียวโดดๆ ถ้าจะซื้อก็ควรเป็น Trading system ที่มีการรวม indicator หลายตัวร่วมกันทำงานและบางรายอาจจะมีการปรับปรุงการแสดงผลของกราฟให้ดูง่าย มีตัวชี้สัญญาณซื้อขาย มี alert ส่งเสียงเตือนเมื่อมีสัญญาณ และอีกมากมายตามแต่ว่าแต่ละรายจะใส่อะไรลงไปบ้างเพื่อดึงดูดให้ผู้เทรดสนใจสินค้าของตน

ถึงกระนั้นผู้เทรด Forex เองก็ควรมีความรู้เป็นของตนเองด้วยบ้าง ทั้งยังควรหาข้อมูลข่าวสารไว้ล่วงหน้าว่าวันเวลาใดที่เมื่อมีการประกาศอะไรออกมาจากประเทศต่างๆแล้วจะมีผลกระทบกับทิศทางตลาด Forex โดยรวม

Pivot Points ไม่ใช่การสุ่มเลือกโดยโบรกเกอร์ Forex

Pivot points คืออะไร

Pivot points คือ ระดับราคา (Price Level) ที่คำนวณจากการเคลื่อนไหวของราคา Forex ที่เกิดขึ้นมาในวันก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ซึ่งผู้เทรดจำนวนมาก ธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆใช้เข้าซื้อและออกจากการเทรด Forex ในโบรกเกอร์ Forex แต่ละราย

Pivot points คำนวณจากข้อมูลการเทรด Forex ในวันก่อนหน้า

ในการคำนวณเพื่อระบุตำแหน่ง Pivot points แต่ละวันจะใช้ราคา Forex ที่มีการเทรดกันก่อนหน้านี้หนึ่งวันมาคำนวณ ซึ่งโบรกเกอร์แต่ละรายจะมี Pivot points ที่ไม่เท่ากันแต่วิธีการคำนวณจะเหมือนกันเป็นมาตรฐานสากล ราคาที่นำมาคำนวณ คือ ราคาสูงสุด (Highest price = H), ราคาต่ำสุด (Lowest price = L) และราคาปิด (Closed price = C)

สูตรการคำนวณ Pivot points 

(H+L+C)/3 = Pivot point
สิ่งที่ได้ คือ ค่าเฉลี่ยของระดับราคาที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหนึ่งวัน ถ้าวันนี้ขณะที่ผู้เทรดกำลังทำการเทรด Forex ราคาปัจจุบันถ้าอยู่เหนือ Pivot point แสดงว่ามีแรงซื้อสูงกว่าเมื่อวานส่งผลให้ระดับราคาไปอยู่แดนบวกได้ ในขณะเดียวกันถ้าสมมติราคาอยู่ต่ำกว่า Pivot point แสดงว่ากำลังมีแรงขายมากจึงกดดันให้ราคาลงไปอยู่ในแดนลบ

Pivot points กับการเทรด Forex

Pivot points หรือ Daily pivot หรือ Center point ใช้เป็นเส้นอ้างอิงทิศทางของตลาดแบบวันต่อวันได้ เมื่อราคามีการปรับตัวจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนเหนือ Pivot point ได้ ผู้เทรดส่วนมากที่รอ sell จะใช้โอกาสนี้ทำการสั่ง sell เมื่อมีการ sell จำนวนมาก ระดับราคาจะเริ่มลดลง ผู้เทรดจะรอให้ราคากลับลงไปจนถึงระดับที่พอใจก็จะปิดออเดอร์เพื่อทำกำไร เมื่อมีการปิด Order มากๆ ถึงระดับหนึ่ง ราคาจะเริ่มชะลอตัว โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในแดนลบคือต่ำกว่าเส้น Pivot point ผู้เทรดก็จะเข้ามาสั่ง Buy เมื่อนั้น Buy กันมากจะเกิดแรงส่งระดับราคากลับไปในแดนบวกอีกครั้งหนึ่ง

กลยุทธ์การเทรด Forex พื้นฐานสำหรับมือใหม่ ตอนที่ 2

การกำหนด Stop Loss โดยอ้างอิง Fractal
ผู้เทรด Forex ต้องกำหนดให้ถูกต้องหากอ้างอิงข้อมูลทิศทางแนวโน้มของตลาดจาก Fractal คือการกำหนด Stop Loss ต้องกำหนดที่ยอดของสัญลักษณ์ Up fractal และกำหนดที่ยอดของสัญลักษณ์ Low fractal ห้ามเข้าใจผิดและจำผิด ไปกำหนดที่ไส้แท่งเทียนทั้งราคา High และ Low เด็ดขาด ต้องกำหนดที่ปลายของสัญลักษณ์ Fractal เท่านั้น

เพราะอย่าลืมว่า Indicator ตัวนี้เป็นตัวส่งสัญญาณเตือนว่าราคาอาจจะไปต่อไม่ได้และมีการกลับตัวในช่วงนั้นๆ ถ้าราคากลับตัวจริงไม่มีปัญหาเพราะเราจะได้กำไร แต่ถ้าราคาไม่กลับตัว ผลคือขาดทุน แล้วถ้าผู้เทรดกำหนด Stop Loss ผิดตำแหน่งตามที่กล่าวไปแล้วจะทำให้ผู้เทรดขาดทุนและปิด Order เร็ว แต่โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่เทรนด์ยาวๆ จะไม่ค่อยเกิดการ Break Fractal อย่างมากราคาก็ไปจนถึงเกือบเท่า Fractal แล้วกลับตัว ผลก็คือ เรากำหนดผิดตำแหน่ง ทำให้ขาดทุนและปิด order ไปแล้ว แทนที่จะได้กำไรหากกำหนดได้ถูกตำแหน่งคือ ยอดของสัญลักษณ์ Fractal


การจัดการ Stop loss ระหว่างการเทรดโดย Pending Order

บทความที่แล้วผู้เทรด Forex ( Forex Trader) ได้ทำการใช้คำสั่ง Pending Order แบบต่างๆกันไปแล้วและรู้วิธีการกำหนดตำแหน่ง Stop loss, Take Profit อีกด้วย บทความนี้จะแนะนำผู้เทรดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับ Stop loss ในขณะที่ราคาตลาดของ Order นั้นยังไปไม่ถึงจุดที่กำหนด Take Profit เอาไว้

การ Buy

จากบทความที่แล้วหากผู้เทรดคาดการณ์ถูก ทิศทางราคาตลาด Forex จะไต่ระดับไปในแดนบวก มีข้อสังเกตง่ายๆ ว่าทิศทางถูกหรือไม่คือ ให้ยึดแท่งเทียนที่เกิด Down Fractal เป็นหลัก แล้วรอให้แท่งเทียนที่จะเกิดต่อจากแท่งเทียนนี้อีก 2 แท่งเทียน มีราคาปิดเป็นทิศทางเดียวกันคือเป็นบวก ก็จะช่วยยืนยันทิศทางได้ในระดับหนึ่ง
ในกรณีที่ทิศทางถูกต้อง เมื่อราคาไต่ขึ้นไประดับราคาหนึ่ง อาจจะมีการกลับตัวของราคาเป๋นลบเล็กน้อยแล้วเกิด Down fractal ใหม่ เช่นนี้ ให้ผู้เทรดทำการขยับ Stop loss ไปที่ Down fractal ที่เกิดขึ้นใหม่นี้
จุดดังกล่าวนี้หากราคาไม่สามารถไต่ระดับไปถึง  Pivot point ได้และมีการกลับตัวไปแดนลบ จุด Stop Loss ที่กำหนดใหม่นี้จะเป็นจุดที่ทำให้ผู้เทรดได้กำไร ซึ่งแน่นอนว่ามากกว่าหากปิดออร์เดอร์ไม่ทันแล้วราคาลงไปต่ำกว่าจุดนี้ ถ้าแย่ไปกว่านั้นคือ เท่าทุนถ้าปิดออร์เดอร์ทัน แต่ถ้าไม่ทันก็ติดลบและอาจเลยไปถึงขาดทุนที่จุด Stop loss ที่กำหนดไว้คราวแรก

การ Sell

หลักการเหมือนกับการ Buy เพียงแต่ให้ไป Stop loss ที่ Up fractal ที่เกิดขึ้นใหม่ และการดูทิศทางก็ให้กลับทิศทางการสังเกตในทิศทางตรงข้ามจากการ Buy

การหาจังหวะเข้าซื้อขาย Forex

ตอนนี้คุณรู้วิธีการดูทิศทางของตลาดโดยรวม ต่อไปคุณก็ต้องทำความรู้ความเข้าใจในการหาจังหวะเข้าซื้อขาย Forex ไม่ว่าจะเป็นตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพื่อตรวจสอบทิศทางของตลาดก่อนที่จะตัดสินใจทำการเทรดครั้งต่อไปนั้นให้คณสลับ Timeframe ไปยังแผนภูมิ 5 นาที (M5) แล้วรอให้ราคาที่มีการแกว่งตัวในระดับไม่มาก (Sideways) อยู่ขณะนั้นกลับตัวหรือมีทิศทางไปในทิศทางที่เราคาดไว้ว่าจะเป็นทิศทางที่มีการปรับตัวที่มากและแรง ซึ่งจะทำกำไรได้มากตามมานั่นเอง

การใช้ Fractals บนชาร์ต M5

ขั้นแรกให้สลับไปยังกรอบเวลาห้านาที ในการจะตัดสินใจเขาเทรด Forex ตามทิศทางตลาดนั้นสมมุติ ทิศทางของ M30 กำลังลง ถ้าเราดูแต่ M30 เราจะไม่รู้ว่าทิศทางตลาดจริงๆในเวลานี้เป็นอย่างไร จึงต้องมาที่ M5 ซึ่งเมื่อเปิดชึ้นมาทิศทางของตลาดใน M5 อาจจะกำลังขึ้นอยู่ แต่นี่เป็นเพียงเวลาย่อยของเวลาหลักที่เราใช้เป็นหลักในการซื้อขาย คือ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งเรารู้แล้วว่าทิศทางตลาดกำลังลง จากการดู M30 เพราะฉะนั้น เราก็ต้องรอให้เกิด การทำลาย Fractal ในทิศทางของตลาดใน M5 ที่ตรงข้ามกับทิศทางตลาดใน M30 ซึงก็คือ ทิศทางขาขึ้น จากบทความที่แล้ว เมื่อเกิดการทำลาย Fractal ทิศทางของตลาดโดยรวมจะไปตามทิศทางนั้น ทีนี้เราสามารเข้าทำการเทรดได้หลายแบบ เช่น

1. เข้าเทรดตามทิศทางตลาด M5 ทันทีที่เกิดการทำลาย Fractal แต่ให้ดูทิศทาง M30 ประกอบด้วย ถ้า M5 กับ M30 มีการทำลาย Fractal ตรงกันข้ามซึ่งกันและกัน ให้คุณทำกำไรช่วงสั้นๆเท่านั้น

2. M5 เกิดการทำลาย Fractal ไปในทิศทางเดียวกันกับ M30 ให้คุณทำกำไรระยะยาวได้

ใช้ Vertical Line ช่วยแบ่งแท่งเทียนที่เราจะไม่ใช้ออกไปจะได้ไม่สับสน

สิ่งที่ต้องระวังคือ ระวังสำหรับการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของตลาดโดยรวม 

ขณะที่คุณรอการเกิดและการทำลาย Fractal  ทิศทางตลาดโดยรวมบนแผนภูมิ 30 นาที (M30)สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณควรให้ตรวจสอบทิศทางตลาดทุก 30 นาทีและถ้าไม่เปลี่ยนกลับไปที่ขั้นตอนแรก

วิธีที่ได้แนะนำไปนั้นเป็นวิธีพื้นฐานในการตัดสินใจเข้าเทรดเท่านั้น ยังมีตัวช่วย หรือ Indicator ที่ช่วยแสดงข้อมูล (Data) หรือสัญญาณ (Signal) ของตลาดอีกด้วยที่ท่านสามารถนำมาใช้ร่วมกับการดูแผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick) ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น แน่นอนขึ้น และวิธีทำกำไรที่กล่าวไปนั้นก็เป็นพื้นฐานเท่านั้น ทุกคนมีเป้าหมายและการพลิกแพลงที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าท่านเข้าใจพื้นฐานที่กล่าวไปแล้ว ทุกท่านย่อมมีวิธีการทำกำไรที่แตกย่อยไปได้อีกมาก ขอให้จำพื้นฐานตรงนี้ให้ดีนะครับผม

กำหนดรู้ทิศทางตลาด Forex

ตอนนี้คุณควรจะรู้ว่าสิ่งสำคัญที่คุณต้องเริ่มต้นในการเรียนรู้กลยุทธ์การเทรด Forex เบื้องต้น ขั้นตอนแรกคือการกำหนดรู้ทิศทางตลาดโดยรวมซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการทำในส่วนที่เหลือเพื่อการตัดสินใจซื้อขาย Forex ของคุณ

Up Fractal และ Down Fractal

เริ่มต้นที่การใช้ Fractals บนแผนภูมิ 30 นาที (M30) เพื่อกำหนดรู้ทิศทางตลาด ภาพจะแสดงให้เห็น Fractrals รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กที่สามารถปรากฎได้ทั้งที่ด้านบนหรือด้านล่างแท่งเทียนญี่ปุ่น เมื่อ Fractals ดังกล่าวอยู่ด้านบนแท่งเทียนญี่ปุ่นเราเรียกมันว่า Up Fractal (Fractal ขาขึ้น) และเมื่อปรากฎอยู่ด้านล่างแท่งเทียนเทียนจะเรียกว่า Down Fractal (Fractal ขาลง)
คุณสามารถใช้ Fractals ได้ทุก Timeframe แต่มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณควรจะรอให้แท่งเทียนอีก 2 แท่งที่จะปรากฎต่อจากแท่งเทียนที่มี Fractal มีทิศทางไปในทิศทางเดียวกันกับ Fractal เพื่อเป็นการยืนยันว่าสัญญาณที่ Fractal แสดงมานั้นถูกต้อง



Fractal ที่ถูกทำลาย (Broken Fractal) เป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของตลาด Forex

Up Fractal จะถูกทำลายต่อเมื่อแท่งเทียนทางขวาของมันมีราคาขึ้นจนสูงกว่าราคาที่สูงที่สุดของเทียนใต้ fractal ส่วนการที่ Down Fractal จะถูกทำลายก็คล้ายกันคือ เมื่อมีแท่งเทียนถัดไปทางขวาของมันมีราคาลดต่ำลงจนต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่อยู่บน fractal
ในภาพด้านล่างคุณจะเห็นว่ามันเป็นราคาสูงสุดของแท่งเทียนใต้ Fractal (1) ที่ถูกทำลายโดยแท่งเทียนด้านขวา (2)



ทิศทางตลาดขึ้นอยู่กับชนิดของ Fractal ซึ่งโดนทำลายครั้งล่าสุด

เพื่อที่จะกำหนดรู้ทิศทางของตลาด  ให้มองหาที่ผ่านมา Up Fractal ที่ถูกทำลายหรือ Down Fractal ที่ถูกทำลาย กำหนดซึ่งของทั้งสอง Fractals ยากจนล่าสุดทิศทางตลาดจะเป็นขาขึ้นถ้า Fractal ที่ถูกทำลายครั้งล่าสุดเป็น Up Fractal แต่หากเป็น Down Fractal ทิศทางตลาดจะเป็นขาลง



โปรดจำไว้เสมอว่า Fractal ที่จะเป็นตัวบอกทิศทางของตลาดนั้น ไม่ใช่ Fractal ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด แต่ต้องเป็น Fractal ที่ถูกทำลายราคาแท่งเทียนที่มันปรากฎตัวอยู่นั้นเป็นครั้งล่าสุด แต่สิ่งนี้เป็นเพียงเครื่องชี้ทิศทางของตลาดที่อาจเป็นไปตามนั้น แต่ตลาดซื้อขายตราสารต่างๆไม่ว่าจะเป็น หุ้น, Forex, ทองคำ, น้ำมัน ล้วนผันผวนรวดเร็วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผู้เทรด Forex ทั้งหลายอย่าลืม ตั้งราคา Stop loss และ Profit target ไว้ด้วย เพราะบางครั้งเมื่อตลาดกลับตัวแรงแล้ว กว่าจะกลับตัวอีกทีก็นานพอสมควร

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 2

การเคลื่อนไหวของสกุลเงินมีหน่วยวัดเป็น "จุด" (pips)


จุดเล็ก ๆ หรือ จุด หรือ pips คือหน่วยของการวัดการเคลื่อนไหวของราคาทั้งขาขึ้นและขาลง  คุณจะพบว่าการเทรด Forex นั้นเราจะติดตามความเคลื่อนไหวของราคาได้จากข้อมูลที่โบรกเกอร์ประมวลผลผ่านโปรแกรมการซื้อขายมาให้เรา เป็นทศนิยมตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป แตกต่างกันแต่ละค่าเงิน โดยปกติคนโดยทั่วไปมักจะคิดว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินใช้เพียงทศนิยม 2 ตำแหน่งเท่านั้น เช่น อัตราแลกเปลี่ยน ของเงินปอนด์และดอลลาร์ ( GBP / USD ) เท่ากับ 1.57 คุณอาจ คิดว่ามันเป็น 1.57 ที่มีเพียงจุดทศนิยมสองตำแหน่งเท่านั้น

ในความเป็นจริงคือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น ไม่ได้ใช้ทศนิยมเพียงสองตำแหน่งเท่านั้น จากตัวอย่างที่ยกมา ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะใช้ทศนิยมตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป ในส่วนของ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินปอนด์และดอลลาร์ ( GBP / USD ) จะใช้ 4 ตำแหน่ง จึงแสดงผลได้เป็น 1.5700 ถ้าเราสังเกตราคาที่ 1.5700 เลข 0 ในทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายนั้นเราเรียกว่า เป็น จุด หรือ pips



pips เป็นวิธีการที่ผู้ประกอบการค้าโดยทั่วไป ใช้วัดกำไรของพวกเขา หากผู้ประกอบการซื้อคู่สกุลเงิน GBP / USD ถือเอาไว้ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงของราคาจาก 1.5700 ขึ้นไปที่ 1.5730 หมายความว่า ราคของสกุลเงิน GBP / USD ที่ถือเอาไว้นั้นขยับขึ้น 30 จุด ส่งผลให้ถ้าผู้ลงทุนขายหน่วยลงทุนก็จะได้กำไร 30 pips

แต่ยังมีอีกหลายโบรกเกอร์ที่ใช้ราคาที่มีหน่วยเล็กลงไปอีกเป็นทศนิยม 5 ตำแหน่ง เทื่อเป็นทศนิยม 5 ตำแหน่งหน่วยนับจึงมีชื่อเปลี่ยนไปเป็น pipette ผู้ลงทุน Forex จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นตัวเลขที่ใช้ทศนิยม 5 ตำแหน่ง เพราะโบรกเกอร์แต่ละรายนอกจากจะใช้โปรแกรมซื้อขายที่แตกต่างกันแล้วยังอาจจะใช้ฐานราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งราคาที่มีหน่วยทศนิยมหลายตำแหน่งมีผลอย่างไร ตอนท้ายผมจะอธิบายอีกทีนะครับ



คู่สกุลเงินญี่ปุ่นจะแตกต่างเล็กน้อย โดยจะใช้ทศนิยมเพียง 3 ตำแหน่งเท่านั้น เช่น หากอัตราแลกเปลี่ยนของ USD / JPY เป็น 76.084 แล้ว ทศนิยมตำแหน่งที่สองคือหมายเลข 8 จะเป็น pip ส่วนทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายคือหมายเลข 4 จะเป็น pipette

Spread ค่าธรรมเนียมของการซื้อขาย


วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเข้าใจเรื่อง Spread คือการคิดว่ามันเป็นค่านายหน้าที่โบรกเกอร์ Forex ของคุณ จะเรียกเก็บต่อการซื้อขายในแต่ละรายการ

สมมุติว่า  EUR / USD  เท่ากับ 1.3000 ถ้าคุณต้องการซื้อ โบรกเกอร์จะไม่ขาย EUR / USD ให้คุณที่ 1.3000 แต่โบรกเกอร์ ของคุณจะเพิ่มราคาสูงขึ้นเล็กน้อย เช่น 1.3001 ในขณะเดียวกัน หากคุณกำลังมอง ที่จะขาย โบรกเกอร์จะไม่ซื้อ EUR / USD ที่ 1.3000 แต่จะรับซื้อที่ 1.2999

จะสังเกตได้ว่ามีความแตกต่างของราคาระหว่าง 1.2999 และ 1.3001 คือ 2 pips นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Spread ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างราคาที่โบรกเกอร์ยินดีที่จะซื้อจากคุณและขายให้กับคุณ โดยการซื้อออกของคุณในราคาที่ต่ำและขายในราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อยเป็นรายได้ที่โบรกเกอร์แต่ละรายจะได้รับจากการประกอบการเป็นโบรกเกอร์ Forex

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 1

ในการเทรด Forex นั้นจะมีคำศัพท์เฉพาะทางที่ใช้กันมากมาย เยอะเสียจนบางท่านก็จำกันไม่หวาดไม่ไหวกันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ผมจะบอกคือ ท่านไม่จำเป็นต้องจำให้ได้หมดทุกอย่าง แม้แต่คำศัพท์ที่ผมจะนำมาให้ท่านได้รับรู้ต่อไปจากนี้ด้วย ท่านก็ไม่จำเป็นต้องจำให้ได้หมด เพราะเราไม่ได้จำไปสอบ เราไม่ได้เรียนในห้องเรียน นี่คือชีวิตจริง มีทั้งการจำและจด เปิดอ่านทบทวนเมื่อหลงลืม ถึงเวลาใช้งานจำไม่ได้ก็เปิดที่จดไว้ดูเพื่อความถูกต้อง อย่าฝืนเดาเป็นอันขาด พลาดขึ้นมาจะลำบากนะครับ

1 คู่สกุลเงิน 1 ราคา

นี่เป็นสิ่งแรกที่ผู้เทรด Forex มือใหม่ต้องทำความรู้จักและเข้าใจกับคำนี้ ในการเทรด Forex นั้นเราจะหมายถึงอะไรสักอย่างที่เรียกว่า คู่สกุลเงิน มาจากภาษาอังกฤษว่า Currency Pair 

ราคาของสินค้าหรืออะไรก็ตามบนโลกใบนี้เมื่อพูดถึงเราจะเข้าใจได้ไม่ยาก เช่น ราคาของการซื้อขายน้ำมันที่แสดง เป็นราคาต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกัน ราคาที่ใช้ในการซื้อขายทองคำก็เป็นราคาต่อออนซ์แต่การซื้อขาย Forex นั้น ราคาที่แสดง จะหมายถึง ราคาที่ใช้ซื้อขายค่าเงินที่แตกต่างกัน 2 สกุลเงิน หรือ 1 คู่สกุลเงิน อ่านแล้วหลายคนอาจจะสับสนบ้างเล็กน้อย ก็จะขออธิบายง่ายๆ ดังนี้

เมื่อเราทำการซื้อขายค่าเงิน ไม่ว่าจะซื้อหรือขายก็ตาม มันคือการซื้อหรือขายเงินสกุลหนึ่งด้วยเงินอีกสกุลหนึ่งที่จับคู่กันอยู่นั่นเอง ตัวอย่างเช่น เราทำการซื้อเงินสกุลดอลลาร์ เราก็ต้องซื้อด้วยเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ เพราะไม่สามารถซื้อได้ด้วยสกุลเงินเดียวกัน ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้เงินสกุลอื่นจำนวนหนึ่งในการซื้อดอลลาร์นี้

Currency Pair
Currency Pair


ในกรณีที่คุณมี เงินบาท อยู่ในมือ แล้วต้องการซื้อเงินสกุล ดอลลาร์ ด้วย เงินบาท ที่มีอยู่นั้น คู่สกุลเงินที่จะใช้แสดงในการซื้อขายคือ  สกุลที่ต้องการ/สกุลเงินที่ถืออยู่  กรณีนี้ก็จะเป็น ดอลลาร์/บาท หรือ USD/THB นั่นเอง

ถ้าราคาที่แสดงของ USD/THB เท่ากับ 35  จะหมายความว่า  เงิน 1 ดอลลาร์ ต้องซื้อด้วยเงินบาทจำนวน 35 บาท  แต่ถ้าราคาเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนจาก 35 เป็น 30 นั่นหมายความว่า ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้น และเพราะเงินบาทแข็งค่า เงินดอลลาร์เมื่อจับคู่กับเงินบาทนี้ ก็จะบอกได้ว่า เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง  ด้วยสาเหตุและปัจจัยต่างๆมากมายที่ส่งผลให้ค่าเงินมีการผันผวนซึ่งผู้เทรด Forex ทั้งหลายควรจะได้ศึกษาเอาไว้บ้าง เพื่อประโยชน์ในการคาดการณ์ทิศทางค่าเงิน การวางแผนการซื้อขาย เป็นต้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ พื้นฐานเรื่องแรกเยอะขนาดนี้ อย่าเพิ่งถอดใจหรือเบื่อหน่ายที่จะเรียนรู้พื้นฐานกันนะครับ ตึกสูงเสียดฟ้า มหาพีระมิด ล้วนตั้งอยู่บนฐานอันมั่นคงฉันใด การเทรด Forex ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ขาดทุน ไม่เจ็บตัว ก็ต้องวางรากฐานให่มั่นคงเช่นกัน เรื่องต่อๆไปจะไม่ยาวขนาดนี้นะครับ 


โบรกเกอร์ Forex คืออะไร

เมื่อท่านนักลงทุนมีความต้องการเข้าลงทุนซื้อขายในตลาดซื้อขาย Forex คุณจำเป็นต้องทำความรู้จักกับ โบรกเกอร์ ว่าโบรกเกอร์คืออะไร มีหน้าที่อะไร ทำงานอย่างไร เกี่ยวข้องกับผู้ลงทุนอย่างไร เป็นต้น และเพื่อให้เข้าใจคำว่า โบรกเกอร์ ได้ง่ายขึ้นให้คุณจินตนาการตามไปกับตัวอย่างที่ผมจะยกมาให้เข้าใจกันง่ายๆ ดังนี้

คุณเคยอยากกินแตงโมสักลูกไหม ถ้าเคยคุณจะไปซื้อที่ไหน แน่นอนว่าจะต้องเป็นตลาดใกล้บ้านที่เราคุ้นเคย สรุปในขั้นแรกนี้ว่า แตงโม คือสิ่งที่คุณต้องการซื้อ ตลาดคือสถานที่ที่คุณสามารถซื้อสิ่งที่ต้องการ เพราะว่า ตลาดเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้นำสิ่งที่คุณต้องการมาขาย

ในทางกลับกัน หากคุณต้องการขายแตงโม คุณต้องหาคนมาซื้อ ซึ่งสถานที่ที่มีผู้ซื้อที่มีความต้องการในสินค้าที่คุณต้องการขาย นั่นคือ ตลาด อีกเช่นกัน

ตลาดจึงเป็นสถานที่ซึ่งผู้ขายและผู้ซื้อมาพบกัน แต่เมื่อคุณไปในตลาดจะพบว่า สินค้าแต่ละอย่างไม่ได้ขายโดยผู้ผลิตหลายๆคน แต่สินค้าที่พวกเขาผลิตจะถูกขายผ่านร้านค้าหรือพ่อค้าคนกลางอีกทอดหนึ่ง



การซื้อขาย Forex ก็เหมือนกัน มีทั้งผู้ซื้อและผู้ขายที่ล้วนแล้วแต่มีความต้องการซื้อขายค่าเงินที่แตกต่างกันออกไป พวกเขาก็ต้องการสถานที่สักแห่งที่จะตอบสนองความต้องการซื้อขายค่าเงินเหล่านั้นของพวกเขาได้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายก็ตาม จึงเป็นที่มาของ โบรกเกอร์ ที่เข้ามาทำหน้าที่ตัวกลางในการซื้อขาย Forex เหมือนกับร้านค้าในตลาดนั่นเอง

หน้าที่ของโบรกเกอร์


โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้เทรด Forex กับตลาดซื้อขาย หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ทำหน้าที่แสวงหาผู้ซื้อและผู้ขาย Forex ที่มีความต้องการเทรด Forex ในสกุลเงินที่ถูกต้องตรงกันแล้วจัดให้ทั้งสองส่วนมาพบกัน

การทำงานของโบรกเกอร์


ในกรณีปกติ เมื่อคุณต้องการซื้อหรือขายเงินสกุลหนึ่ง หากมีผู้แสดงความประสงค์ที่จะขายเป็นจำนวน มาก คุณนึกภาพออกหรือไม่ว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหน เดินทางไกลแค่ไหน ถ้ามีผู้ต้องการเทรดให้คุณเป็นจำนวนพันๆคน ในหนึ่งวันคุณจะเทรดได้กี่รายการกันเชียว

บทบาทการทำงานของโบรกเกอร์จึงเป็นตัวกลางหรือนายหน้าที่รวบรวมสัญญาว่าจะซื้อ สัญญาว่าจะขาย และเงินของผู้ลงทุนที่ทำการตกลงซื้อขายไปเรียบร้อยแล้วในตลาด Forex จำนวนมาก แล้วทำการรับจ่ายเงินตามจำนวนที่ผู้เทรดได้ตกลงซื้อขายไป

โบรกเกอร์ Forex กับผู้ลงทุน


ในอดีตนั้น โบรกเกอร์ ในตลาดหุ้นจะติดต่อกับลูกค้าหรือผู้ลงทุนผ่านทางโทรศัพท์เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันการติดต่อซื้อขายไม่ว่าจะเป็นหุ้นก็ไม่ต้องโทรติดต่อกับโบรกเกอร์อย่างเดียวอีกต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้องใหม่อย่าง Forex ที่แทบจะไม่ต้องโทรติดต่อกับโบรกเกอร์เลย เนื่องด้วยทั้ง การซื้อหายหุ้นและ Forex ในปัจจุบันนั้นมีการสร้างโปรแกรมสำหรับการซื้อขายขึ้นมาเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้เองทันที การตกลงซื้อขายในโปรแกรมนั้นก็มีกระบวนการเหมือนการที่เราตกลงเซ็นต์สัญญาว่าจะซื้อหรือขายค่าเงินในเวลานั้นๆ แต่จะขายตอนไหนก็แล้วแต่เราแต่สัญญาดังกล่าวจะยังคงอยู่จนกว่าเราจะปิดการเทรดล็อตนั้นๆ ซึ่งก็คือทำการซื้อหรือขายตามสัญญาว่าจะซื้อหรือขาย ส่วนจะได้กำไรหรือขาดทุนก็แล้วแต่ว่าเราสามารถคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินได้ถูกต้องหรือไม่


ข้อดีของการเทรด Forex หรือการซื้อขายค่าเงินออนไลน์

จากที่ได้รู้กันมาแล้วว่า Forex คืออะไร มีหลักการทำงาน ทำเงินอย่างไร คราวนี้เรามาดูซิว่า ทำไม Forex จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายไปในทุกทวีปและแทบจะทุกประเทศแล้วในขณะนี้ แม้บางประเทศรวมถึงประเทศไทยเราจะยังไม่มีกฎหมายรองรับความถูกต้องของการลงทุนประเภทนี้ก็ตามที แต่ในประเทศระดับแถวหน้าของโลกนั้น เป็นที่ตั้งของที่ทำการของโบรกเกอร์ Forex หลายๆโบรกเกอร์ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดต้องจดทะเยียนและได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐบาลในประเทศนั้นๆด้วย

ข้อดีของการเทรด Forex หรือการซื้อขายค่าเงินออนไลน์


มีอยู่หลายประการ โดยสรุปโดยย่อได้ดังต่อไปนี้

1. ไม่ต้องเดินทางเข้า - ออก ธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อทำการแลกเปลี่ยนบ่อยๆ

2. ไม่ต้องกรอกเอกสารการซื้อขาย ไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องพกบัตร ไม่ต้องพกบัญชี

3. ซื้อขายได้ทุกที่ที่คุณสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้

4. มีโปรแกรมรองรับทั้ง PC และอุปกรณ์พกพา ทั้ง Notebook PC, Tablet, Smartphone

5. โปรแกรมมีระบบชาร์ตหรือกราฟ แสดงข้อมูลราคาอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลังให้เลือกหลายช่วงเวลา



6. ตลาด Forex เปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวันทำการปกติ (จันทร์ - ศุกร์)

7. การเปิดบัญชีเทรด Forex ของแต่ละโบรกเกอร์ใช้เงินทุนต่ำ โดยส่วนมากเริ่มที่ 100 ดอลลาร์ แต่ก็มีโบรกเกอร์หลายรายที่เปิดบัญชีได้ด้วยทุนที่ต่ำกว่านั้น ยิ่งในปัจจุบันต่างแข่งขันกันดึงดูดใจลูกค้าด้วยการให้เงินลงทุนเริ่มต้นฟรีๆ มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 10 ดอลลาร์ขึ้นไป บางรายให้ถึง 100 ยูโร

8. แม้ว่า Forex จะไม่ได้ช่วยให้คุณร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ก็สามารถเป็นรายได้เสริมควบคู่ไปกับรายได้หลักจากการทำงานประจำได้ จะมากบ้างน้อยบ้างก็ต่างกันไปแต่ละรายตามเวลาที่แต่ละคนจะมีให้กับการเทรด

9. สามารถทำเป็นธุรกิจ หรือ กิจการได้ หากมองเห็นช่องทาง เช่น การรวมตัวกันของกลุ่มผู้ลงทุนที่ต่างเชี่ยวชาญการเทรดกันในแต่ละคาบเวลา โดยลงทุนร่วมกัน ช่วยกันเทรดในคาบเวลาที่แต่ละคนถนัด แล้วนำกำไรมาแบ่งปันกัน

Forex คืออะไร อะไรคือการเทรด Forex

ถ้าคุณเคยไปต่างประเทศ คุณย่อมเคยแลกเปลี่ยนเงินจากสกุลเงินหนึ่งไปเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือคุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาด Forex ซึ่งเป็นคำย่อที่มาจากคำเต็มๆว่า Foreign Exchange และอาจเรียกได้อีกหลายอย่างเช่น FX หรือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศก็ได้

การเทรด Forex โดยสังเขป

การทำความเข้าใจว่าการเทรด Forex คืออะไรนั้น ให้คิดถึงการแลกเงินต่างสกุลเมื่อคุณไปต่างประเทศ กับการที่บริษัทต่างๆอาศัยความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศในราคาที่ดี ซึ่งแตกต่างจากการแลกของบุคคลทั่วไปคือบริษัทจะมีจำนวนเงินที่ทำการแลกเปลี่ยนในจำนวนมากนั่งเอง 

ด้วยการที่มีการแลกเปลี่ยนเงินต่างสกุลเงินเช่นนี้ทั่วโลกอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีกระบวนการ ดังนี้



การซื้อขายForex ก็เหมือนกับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

เมื่อมีการแลกเปลี่ยนเงินจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ ราคาและอัตราแลกเปลี่ยน เหมือนกับราคาสินค้าทุกอย่างในโลกใบนี้ที่การเปลี่ยนแปลงของราคาจะถูกกำหนดโดยอัตโนมัติจากอุปสงค์และอุปทาน 
หากความต้องการสกุลเงินหนึ่งสกุลใดมีเพิ่มสูงขึ้น เช่น ผู้คนจำนวนมากหรือบริษัทต่างๆต้องการแลกเปลี่ยนสกุลเงินในประเทศที่ถือครองอยู่ไปเป็นเงินสกุลอื่น เช่น ยูโร ค่าเงินยูโรจะเพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆจะมีการเแลี่ยนแปลง ซึ่งหลักการเหล่านี้คือที่มาของการทำกำไรในตลาด Forex

สมมุติว่าคุณจะไปเที่ยวสหรัฐอเมริกา จึงทำการแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์เพื่อใช้จ่าย โดยอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้นอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ : 35 บาท จำนวน 140,000 บาท ได้รับมา 4,000 ดอลลาร์ หลังจากนั้นสองสัปดาห์กลับมาประเทศไทยเหลือเงิน 1,000 ดอลลาร์จึงทำการแลกกลับเป็นเงินบาทโดยอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ : 40 บาท คิดเป็น 40,000 บาท แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เหมือนสองสัปดาห์ก่อน คุณจะได้เพียง 35,000 บาท 

นั่นคือส่วนต่างที่เกิดจากผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีนี้คือ ความต้องการเงินสกุลดอลลาร์เพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เมื่อความต้องการ(อุปสงค์)เพิ่มขึ้น ราคาของค่าเงิน(อุปทาน)จึงเพิ่มขึ้นด้วย

เป้าหมายของการเทรด Forex คือ การทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

อธบายง่ายๆ คือ เมื่อเทียบค่าเงินสองสกุลจะได้ อัตราแลกเปลี่ยน เช่น เงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ  เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งหากราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เราจะแลกเงินกลับเป็นเงินบาทได้ 30 บาทเท่าเดิม แต่หากว่าอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเป็น 35 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เราจะได้กำไร 5 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

การเทรด Forex และการซื้อขายค่าเงิน ก็คือ การใช้เงินที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะสกุลใดก็ตามไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลใดๆก็ตาม แล้วถือครองไว้ระยะเวลาหนึ่งจนอัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวไปในทิศทางที่ทำกำไรได้จนเป็นที่น่าพอใจ จึงทำการแลกเปลี่ยนกลับเป็นสกุุลเงินที่เราใช้แลกเปลี่ยนมานั่นเอง


Popular Posts

Like us on Facebook

Flickr Images