การหาจังหวะเข้าซื้อขาย Forex

ตอนนี้คุณรู้วิธีการดูทิศทางของตลาดโดยรวม ต่อไปคุณก็ต้องทำความรู้ความเข้าใจในการหาจังหวะเข้าซื้อขาย Forex ไม่ว่าจะเป็นตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพื่อตรวจสอบทิศทางของตลาดก่อนที่จะตัดสินใจทำการเทรดครั้งต่อไปนั้นให้คณสลับ Timeframe ไปยังแผนภูมิ 5 นาที (M5) แล้วรอให้ราคาที่มีการแกว่งตัวในระดับไม่มาก (Sideways) อยู่ขณะนั้นกลับตัวหรือมีทิศทางไปในทิศทางที่เราคาดไว้ว่าจะเป็นทิศทางที่มีการปรับตัวที่มากและแรง ซึ่งจะทำกำไรได้มากตามมานั่นเอง

การใช้ Fractals บนชาร์ต M5

ขั้นแรกให้สลับไปยังกรอบเวลาห้านาที ในการจะตัดสินใจเขาเทรด Forex ตามทิศทางตลาดนั้นสมมุติ ทิศทางของ M30 กำลังลง ถ้าเราดูแต่ M30 เราจะไม่รู้ว่าทิศทางตลาดจริงๆในเวลานี้เป็นอย่างไร จึงต้องมาที่ M5 ซึ่งเมื่อเปิดชึ้นมาทิศทางของตลาดใน M5 อาจจะกำลังขึ้นอยู่ แต่นี่เป็นเพียงเวลาย่อยของเวลาหลักที่เราใช้เป็นหลักในการซื้อขาย คือ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งเรารู้แล้วว่าทิศทางตลาดกำลังลง จากการดู M30 เพราะฉะนั้น เราก็ต้องรอให้เกิด การทำลาย Fractal ในทิศทางของตลาดใน M5 ที่ตรงข้ามกับทิศทางตลาดใน M30 ซึงก็คือ ทิศทางขาขึ้น จากบทความที่แล้ว เมื่อเกิดการทำลาย Fractal ทิศทางของตลาดโดยรวมจะไปตามทิศทางนั้น ทีนี้เราสามารเข้าทำการเทรดได้หลายแบบ เช่น

1. เข้าเทรดตามทิศทางตลาด M5 ทันทีที่เกิดการทำลาย Fractal แต่ให้ดูทิศทาง M30 ประกอบด้วย ถ้า M5 กับ M30 มีการทำลาย Fractal ตรงกันข้ามซึ่งกันและกัน ให้คุณทำกำไรช่วงสั้นๆเท่านั้น

2. M5 เกิดการทำลาย Fractal ไปในทิศทางเดียวกันกับ M30 ให้คุณทำกำไรระยะยาวได้

ใช้ Vertical Line ช่วยแบ่งแท่งเทียนที่เราจะไม่ใช้ออกไปจะได้ไม่สับสน

สิ่งที่ต้องระวังคือ ระวังสำหรับการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของตลาดโดยรวม 

ขณะที่คุณรอการเกิดและการทำลาย Fractal  ทิศทางตลาดโดยรวมบนแผนภูมิ 30 นาที (M30)สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณควรให้ตรวจสอบทิศทางตลาดทุก 30 นาทีและถ้าไม่เปลี่ยนกลับไปที่ขั้นตอนแรก

วิธีที่ได้แนะนำไปนั้นเป็นวิธีพื้นฐานในการตัดสินใจเข้าเทรดเท่านั้น ยังมีตัวช่วย หรือ Indicator ที่ช่วยแสดงข้อมูล (Data) หรือสัญญาณ (Signal) ของตลาดอีกด้วยที่ท่านสามารถนำมาใช้ร่วมกับการดูแผนภูมิแท่งเทียน (Candlestick) ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น แน่นอนขึ้น และวิธีทำกำไรที่กล่าวไปนั้นก็เป็นพื้นฐานเท่านั้น ทุกคนมีเป้าหมายและการพลิกแพลงที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าท่านเข้าใจพื้นฐานที่กล่าวไปแล้ว ทุกท่านย่อมมีวิธีการทำกำไรที่แตกย่อยไปได้อีกมาก ขอให้จำพื้นฐานตรงนี้ให้ดีนะครับผม

กำหนดรู้ทิศทางตลาด Forex

ตอนนี้คุณควรจะรู้ว่าสิ่งสำคัญที่คุณต้องเริ่มต้นในการเรียนรู้กลยุทธ์การเทรด Forex เบื้องต้น ขั้นตอนแรกคือการกำหนดรู้ทิศทางตลาดโดยรวมซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการทำในส่วนที่เหลือเพื่อการตัดสินใจซื้อขาย Forex ของคุณ

Up Fractal และ Down Fractal

เริ่มต้นที่การใช้ Fractals บนแผนภูมิ 30 นาที (M30) เพื่อกำหนดรู้ทิศทางตลาด ภาพจะแสดงให้เห็น Fractrals รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กที่สามารถปรากฎได้ทั้งที่ด้านบนหรือด้านล่างแท่งเทียนญี่ปุ่น เมื่อ Fractals ดังกล่าวอยู่ด้านบนแท่งเทียนญี่ปุ่นเราเรียกมันว่า Up Fractal (Fractal ขาขึ้น) และเมื่อปรากฎอยู่ด้านล่างแท่งเทียนเทียนจะเรียกว่า Down Fractal (Fractal ขาลง)
คุณสามารถใช้ Fractals ได้ทุก Timeframe แต่มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณควรจะรอให้แท่งเทียนอีก 2 แท่งที่จะปรากฎต่อจากแท่งเทียนที่มี Fractal มีทิศทางไปในทิศทางเดียวกันกับ Fractal เพื่อเป็นการยืนยันว่าสัญญาณที่ Fractal แสดงมานั้นถูกต้อง



Fractal ที่ถูกทำลาย (Broken Fractal) เป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของตลาด Forex

Up Fractal จะถูกทำลายต่อเมื่อแท่งเทียนทางขวาของมันมีราคาขึ้นจนสูงกว่าราคาที่สูงที่สุดของเทียนใต้ fractal ส่วนการที่ Down Fractal จะถูกทำลายก็คล้ายกันคือ เมื่อมีแท่งเทียนถัดไปทางขวาของมันมีราคาลดต่ำลงจนต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่อยู่บน fractal
ในภาพด้านล่างคุณจะเห็นว่ามันเป็นราคาสูงสุดของแท่งเทียนใต้ Fractal (1) ที่ถูกทำลายโดยแท่งเทียนด้านขวา (2)



ทิศทางตลาดขึ้นอยู่กับชนิดของ Fractal ซึ่งโดนทำลายครั้งล่าสุด

เพื่อที่จะกำหนดรู้ทิศทางของตลาด  ให้มองหาที่ผ่านมา Up Fractal ที่ถูกทำลายหรือ Down Fractal ที่ถูกทำลาย กำหนดซึ่งของทั้งสอง Fractals ยากจนล่าสุดทิศทางตลาดจะเป็นขาขึ้นถ้า Fractal ที่ถูกทำลายครั้งล่าสุดเป็น Up Fractal แต่หากเป็น Down Fractal ทิศทางตลาดจะเป็นขาลง



โปรดจำไว้เสมอว่า Fractal ที่จะเป็นตัวบอกทิศทางของตลาดนั้น ไม่ใช่ Fractal ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด แต่ต้องเป็น Fractal ที่ถูกทำลายราคาแท่งเทียนที่มันปรากฎตัวอยู่นั้นเป็นครั้งล่าสุด แต่สิ่งนี้เป็นเพียงเครื่องชี้ทิศทางของตลาดที่อาจเป็นไปตามนั้น แต่ตลาดซื้อขายตราสารต่างๆไม่ว่าจะเป็น หุ้น, Forex, ทองคำ, น้ำมัน ล้วนผันผวนรวดเร็วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผู้เทรด Forex ทั้งหลายอย่าลืม ตั้งราคา Stop loss และ Profit target ไว้ด้วย เพราะบางครั้งเมื่อตลาดกลับตัวแรงแล้ว กว่าจะกลับตัวอีกทีก็นานพอสมควร

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 4 (จบ)

การซื้อขายตราสาร (Instrument) ตราสารการเงิน (Financial Instrument) สินทรัพย์ (Asset)


คำเล่านี้เป็นคำที่เราใช้ในการอธิบายถึงสิ่งที่เราซื้อขาย( Trade) ตัวอย่างเช่น เมื่อเราทำการซื้อขาย น้ำมัน เป็นตราสาร  และเมื่อเราซื้อขายสกุลเงินคู่ EUR / USD  จึงกล่าวได้ว่า EUR / USD เป็นตราสาร นอกจากนี้เรายังเรียกได้อีกแบบหนึ่งว่าเป็น สินทรัพย์ (Asset)

เปิดและปิดการซื้อขาย (Opening and Closing)


หลังจากที่คุณได้ทำการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินไปแล้วนั้น เราเรียกกันว่าคุณได้เปิดการซื้อขาย (Opening position) แล้ว ดังนั้นการซื้อและการขายบางครั้งจึงมีการเรียกกันว่า การเข้าสู่การซื้อขาย(Entring position) แต่มันก็เป็นความหมายเดียวกับ การเข้าสู่ตลาด(entering the market) เและเมื่อไหร่ที่ผู้ลงทุน ออกจากตลาด เราก็อาจเรียกได้อีกแบบหนึ่งว่า การปิดการซื้อขาย (Closing position) ของพวกเขา

เข้า (Entry)

คำว่า เข้า ในภาษาของ Forex คือ เมื่อผู้ลงทุน(Trader)ตัดสินใจที่จะเปิดการซื้อขายไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขายตราสารทางการเงิน

ออก (Exit)

คำว่า ออก ในภาษาของ Forex คือ เมื่อผู้ผู้ลงทุน(Trader)ตัดสินใจที่จะ ปิดการซื้อขายของพวกเขาจากการซื้อขาย ไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน

Stop loss

ไม่มีคำแปลภาษาไทยที่เหมาะสมและผู้ลงทุนส่วนใหญ่ก็ใช้ทับศัพท์กันอยู่แล้ว โดยคำนี้หมายถึง ตำแหน่งหรือจุดที่ผู้ลงทุนคิดว่าจะใช้เป็นจุดใช้หยุดการขาดทุนจากการที่ค่าเงินปรับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเทรดของตนเอง เพื่อป้องกันการขาดทุนอย่างหนัก โดยเราสามารถตั้งตำแหน่ง Stop loss ได้ทันทีหลังจากทำการเปิดการซื้อหรือขาย ผลดีคือในกรณีที่เราไม่สามารถอยู่ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้าเราเปิดการซื้อขายไว้อย่างเดียว ถ้าเราไม่อยู่หน้าจอ แล้วทิศทางค่าเงินเปลี่ยนไปในทางที่ทำให้เราขาดทุน ผลที่ตามมาคือการขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งหากทิศทางดังกล่าวแรงมากๆ แล้วเงินลงทุนในบัญชีของเราไม่เพียงพอ ก็อาจถึงขั้นล้างพอร์ตได้เลยทีเดียว

Profit Target

เป็นการกำหนดตำแหน่งหรือจุดที่เราคิดว่าทิศทางที่เป็นกำไรของการซื้อขายของเราสามารถไปถึงได้และคิดว่าไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ หรือ เราพอใจที่จะปิดการซื้อขายเมื่อได้กำไรที่จุดนี้ เพราะคิดว่าเมื่อพ้นจุดนี้ไปซึ่งหมายถึงเวลาที่เปลี่ยนไปด้วยคือเหตุการณ์หรือข่าวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นอาจส่งผลให้ทิศทางเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามก็เป็นได้

การกำหนด Stop loss และ การกำหนด Profit Target นั้น เมื่อทิศทางของค่าเงินเคลื่อนที่ไปถึงจุดที่เรากำหนดไว้ตัวโปรแกรมการซื้อขายจะทำการปิดการซื้อขายให้เราอัตโนมัติ


Bull และ Bear

สองคำนี้มาจากแนวคิดหรือจินตนาการถึงการต่อสู้ของวัวกระทิงและหมี โดย Bull คือ ทิศทางของตลาดในเวลานั้นๆที่ผู้ลงทุนทั้งหลายคาดว่าทิศทางจะเป็นไปในทางเพิ่มขึ้น เหมือนกับการที่วัวกระทิงเมื่อต่อสู้กับหมีจะต้องใช้เขาขวิดขึ้นไป
ในขณะที่หมีเมื่อต่อสู้กับวัวกระทิง เนื่องจากหมีจะยืนสองขาเมื่อต่อสู้จึงสูงกว่าจึงต้องใช้อุ้งตีนสองขาหน้าตบลงมา จึงเป็นคำที่ใช้แทนความเชื่อในตลาดขณะนั้นว่าทิศทางค่าเงินกำลังไปในทิศทางที่ลดตัวลง


พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 3

Ask

Bid (เสนอซื้อ)

Bid เป็นการเสนอราคาซื้อเป็นราคาที่ดีที่สุดที่ผู้ประกอบการสามารถซื้อตราสารที่มีการซื้อขายในเวลาปัจจุบัน. ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน Forex จะหมายถึงราคาเสนอซื้อซึ่งเป็นราคาสูงสุดที่โบรกเกอร์จะจ่ายเงินเพื่อซื้อจากคุณ

Ask (เสนอขาย)

Ask เป็นราคาที่ดีที่สุดที่ผู้ประกอบการสามารถขายตราสารการในเวลาปัจจุบัน. ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน Forex หมายถึงราคาต่ำที่สุดที่โบรกเกอร์จะขายให้แก่คุณ

แผนภูมิ (Chart) แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ช่วงเวลา (Periodicity หรือ Time frame)


แผนภูมิเป็นตัวแทนภาพการเคลื่อนไหวของราคา (Price) คุณสามารถใช้สิ่งนี้สำหรับการวิเคราะห์ของคุณ มันเป็นสิ่งที่คุณจะใช้ในการสังเกต อัตราแลกเปลี่ยนหรือราคาของคู่สกุลเงินในแต่ละช่วงเวลา

ในกราฟนั้น ราคาของคู่สกุลเงินจะอยู่ในแกนแนวตั้งด้านขวามือ ตัวเลขที่แสดงคืออัตราแลกเปลี่ยนของคู่สกุลเงินนั้นๆมีความหมายถึงจำนวนของสกุลเงินด้านหลังที่จะสามารถแลกเป็นเงินสกุลด้านหน้าได้ 1 หน่วยนั่นเอง ส่วนช่วงเวลาแสดงอยู่บนแกนนอนด้านล่าง

แผนภูมิ Candlesticks (แท่งเทียนญี่ปุ่น) แสดงให้เห็นข้อมูลจำนวนมาก


ชาร์ตที่เราใช้ในบล็อกเพื่ออธิบายเรื่องราวและความรู้ข้อมูลต่างๆของเราจะใช้เป็น แผนภูมิแท่งเทียน ญี่ปุ่น

 แท่งเทียนญี่ปุ่น เป็นวิธีการแสดงการเคลื่อนไหวของราคา พวกมันบอกเราให้ได้รู้ข้อมูลจำนวนหนึ่ง อย่างแรก แท่งเทียนสามารถบอกได้ว่าราคาได้ขยับขึ้นหรือลงง่ายๆด้วยการแยกสีที่ต่างกัน  สีดังกล่าวนั้นผู้ลงทุน (Trader) สามารถกำหนดได้เองตามความชอบหรือความง่ายต่อความเข้าใจของแต่ละคน  สีจะเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ เมื่อทิศทางการซื้อขายมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น (Bull) หรือ (Bear)



เทียนแต่ละแท่งจะแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะเวลา(Time frame)ที่เราเลือกไว้ ถ้าเราเลือก time frame M1 คือ 1นาที แท่งเทียน 1 แท่งจะแสดงการเคลื่อนไหวของราคาใน 1 นาที เมื่อครบ 1 นาทีแล้วจะขึ้นแท่งเทียนใหม่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ หากเราเปลี่ยน time frame เทียนแต่ละแท่งกธจะมีอายุเปลี่ยนไปตามที่เราเลือกด้วยเช่นเดียวกัน

แท่งเทียนยังแสดงให้เราเห็นราคาเปิดและราคาปิดใน Time frame นั้นๆ ดังนั้นหากเราใช้ Time frame H4 คือ 4 ชั่วโมง แท่งเทียนสามารถบอกเราถึงราคาเปิดที่เริ่มต้นของระยะเวลา 4 ชั่วโมงและราคาปิดของเมื่อเวลาครบ 4 ชั่วโมง

สุดท้ายเทียนแสดงให้เห็นถึงราคาสูงสุดและต่ำสุดภายในระยะเวลาที่แท่งเทียนจะแสดงผลตาม Time frame ที่เลือกใช้ ดังนั้นถ้าใช้ Time frame MN คือ 1 เดือน เมื่อครบระยะเวลาดังกล่าวคุณจะเห็นราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของระยะเวลาดังกล่าว

พื้นฐานในการเทรด Forex ตอนที่ 2

การเคลื่อนไหวของสกุลเงินมีหน่วยวัดเป็น "จุด" (pips)


จุดเล็ก ๆ หรือ จุด หรือ pips คือหน่วยของการวัดการเคลื่อนไหวของราคาทั้งขาขึ้นและขาลง  คุณจะพบว่าการเทรด Forex นั้นเราจะติดตามความเคลื่อนไหวของราคาได้จากข้อมูลที่โบรกเกอร์ประมวลผลผ่านโปรแกรมการซื้อขายมาให้เรา เป็นทศนิยมตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป แตกต่างกันแต่ละค่าเงิน โดยปกติคนโดยทั่วไปมักจะคิดว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินใช้เพียงทศนิยม 2 ตำแหน่งเท่านั้น เช่น อัตราแลกเปลี่ยน ของเงินปอนด์และดอลลาร์ ( GBP / USD ) เท่ากับ 1.57 คุณอาจ คิดว่ามันเป็น 1.57 ที่มีเพียงจุดทศนิยมสองตำแหน่งเท่านั้น

ในความเป็นจริงคือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น ไม่ได้ใช้ทศนิยมเพียงสองตำแหน่งเท่านั้น จากตัวอย่างที่ยกมา ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะใช้ทศนิยมตั้งแต่ 3 ตำแหน่งขึ้นไป ในส่วนของ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินปอนด์และดอลลาร์ ( GBP / USD ) จะใช้ 4 ตำแหน่ง จึงแสดงผลได้เป็น 1.5700 ถ้าเราสังเกตราคาที่ 1.5700 เลข 0 ในทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายนั้นเราเรียกว่า เป็น จุด หรือ pips



pips เป็นวิธีการที่ผู้ประกอบการค้าโดยทั่วไป ใช้วัดกำไรของพวกเขา หากผู้ประกอบการซื้อคู่สกุลเงิน GBP / USD ถือเอาไว้ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงของราคาจาก 1.5700 ขึ้นไปที่ 1.5730 หมายความว่า ราคของสกุลเงิน GBP / USD ที่ถือเอาไว้นั้นขยับขึ้น 30 จุด ส่งผลให้ถ้าผู้ลงทุนขายหน่วยลงทุนก็จะได้กำไร 30 pips

แต่ยังมีอีกหลายโบรกเกอร์ที่ใช้ราคาที่มีหน่วยเล็กลงไปอีกเป็นทศนิยม 5 ตำแหน่ง เทื่อเป็นทศนิยม 5 ตำแหน่งหน่วยนับจึงมีชื่อเปลี่ยนไปเป็น pipette ผู้ลงทุน Forex จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นตัวเลขที่ใช้ทศนิยม 5 ตำแหน่ง เพราะโบรกเกอร์แต่ละรายนอกจากจะใช้โปรแกรมซื้อขายที่แตกต่างกันแล้วยังอาจจะใช้ฐานราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งราคาที่มีหน่วยทศนิยมหลายตำแหน่งมีผลอย่างไร ตอนท้ายผมจะอธิบายอีกทีนะครับ



คู่สกุลเงินญี่ปุ่นจะแตกต่างเล็กน้อย โดยจะใช้ทศนิยมเพียง 3 ตำแหน่งเท่านั้น เช่น หากอัตราแลกเปลี่ยนของ USD / JPY เป็น 76.084 แล้ว ทศนิยมตำแหน่งที่สองคือหมายเลข 8 จะเป็น pip ส่วนทศนิยมตำแหน่งสุดท้ายคือหมายเลข 4 จะเป็น pipette

Spread ค่าธรรมเนียมของการซื้อขาย


วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเข้าใจเรื่อง Spread คือการคิดว่ามันเป็นค่านายหน้าที่โบรกเกอร์ Forex ของคุณ จะเรียกเก็บต่อการซื้อขายในแต่ละรายการ

สมมุติว่า  EUR / USD  เท่ากับ 1.3000 ถ้าคุณต้องการซื้อ โบรกเกอร์จะไม่ขาย EUR / USD ให้คุณที่ 1.3000 แต่โบรกเกอร์ ของคุณจะเพิ่มราคาสูงขึ้นเล็กน้อย เช่น 1.3001 ในขณะเดียวกัน หากคุณกำลังมอง ที่จะขาย โบรกเกอร์จะไม่ซื้อ EUR / USD ที่ 1.3000 แต่จะรับซื้อที่ 1.2999

จะสังเกตได้ว่ามีความแตกต่างของราคาระหว่าง 1.2999 และ 1.3001 คือ 2 pips นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Spread ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างราคาที่โบรกเกอร์ยินดีที่จะซื้อจากคุณและขายให้กับคุณ โดยการซื้อออกของคุณในราคาที่ต่ำและขายในราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อยเป็นรายได้ที่โบรกเกอร์แต่ละรายจะได้รับจากการประกอบการเป็นโบรกเกอร์ Forex

Popular Posts

Like us on Facebook

Flickr Images